หมวดหมู่ : หนังตลก , หนังดราม่า , หนัง Netflix , หนังโรแมนติก
เรื่องย่อ : To All the Boys: Always and Forever แด่ชายทุกคนที่ฉันเคยรัก ชั่วนิจนิรันดร์ (2021) [พากย์ไทย บรรยายไทย]
ชื่อภาพยนตร์ : To All the Boys: Always and Forever แด่ชายทุกคนที่ฉันเคยรัก ชั่วนิจนิรันดร์
แนว/ประเภท : Comedy, Drama, Romance
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Michael Fimognari
บทภาพยนตร์ : Katie Lovejoy, Jenny Han
นักแสดง : Lana Condor, Noah Centineo, Janel Parrish
วันที่ออกฉาย : 12 February 2021
ลาร่า จีนเตรียมก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่เมื่อชีวิตนักเรียนมัธยมปลายจบลง การเดินทางเปลี่ยนชีวิตสองครั้งทำให้เธอคิดถึงอนาคตของครอบครัว เพื่อน และความสัมพันธ์ที่มีต่อปีเตอร์หลังจบการศึกษา
IMDB : tt10676012
คะแนน : 6.4
รับชม : 1610 ครั้ง
เล่น : 360 ครั้ง
ภาพยนตร์วัยรุ่นโรแมนติกคอเมดี้ ดัดแปลงจากซีรีส์หนังสือ To All the Boys ไตรภาคนิยายรักของ เจนนี่ ฮัน เป็นภาคต่อของ To All the Boys: P.S. I Still Love You แด่ชายทุกคนที่ฉันเคยรัก (ตอนนี้ก็ยังรัก) และเป็นภาพยนตร์ปิดไตรภาคด้วย โดยนี่ถือเป็นผลงานกำกับเรื่องที่ 2 ของ ไมเคิล ฟิโมญญารี ผู้กำกับจากภาคก่อน นำแสดงโดย ลาน่า คอนดอร์ และ โนอาห์ เซนตินีโอ ในบทของลาร่า จีน และ ปีเตอร์ คาวินสกี คู่รักที่ฝ่าฟันอุปสรรคตั้งแต่ความสัมพันธ์ที่เริ่มจากการเขียนจดหมายที่สร้างความวุ่นวายไปทั่ว แต่ก็ทำให้ทั้งคู่ได้ลงเอยคบกัน ไม่ว่าจะอุปสรรคใด ๆ พวกเขาก็ผ่านมาได้ตลอด เพราะพวกเขาได้เรียนรู้ในเรื่องความสัมพันธ์ที่แนบแน่นจนมาถึงภาคที่ 3 ที่อาจจะเป็นบทสรุปของทุกสิ่งทุกอย่างความโดดเด่นของซีรีส์ภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ตัวละครหลักเป็นสาววัยรุ่นลูกครึ่งอเมริกัน-เอเชีย ถือเป็นการเปิดโอกาสให้คนที่มีเชื้อสายนอกจากอเมริกันได้ออกมาโลดแล่น (ซึ่งแทบนับเรื่องที่คนเอเชียจะเด่นได้) มีเรื่องราวความรัก ความสัมพันธ์ อารมณ์ของการเล่าเรื่องที่มีความคลาสสิกและร่วมสมัยไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งแตกต่างกับหนังวัยรุ่นทั่วไป ซึ่งเป็นจุดเด่นที่มีมาตั้งแต่ภาคก่อน ๆ แล้วผมก็ชอบมันมาก ๆ จากที่ดูสองภาค แม้พล็อตอาจจะดูซ้ำซากแต่การเล่าเรื่องของมันก็มิติแล้วทำให้เราเห็นความสัมพันธ์ที่มีมิติระหว่างชายหญิง
การสำรวจความสัมพันธ์ของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็ยังสอนให้รักตัวเอง เปิดใจให้กับคนอื่น ซึ่งโดดเด่นเป็นพิเศษ นอกจากนี้ตัวละครรอบ ๆ นั้นมีความน่าสนใจตั้งแต่ต้นจนจบ แม้จะยอมรับว่าภาคสองมีดร็อปลงไปบ้าง แต่ก็ยังรักษามาตรฐานเดิมของมันได้อย่างดี และนักแสดงต่าง ๆ ก็ทำให้ความสัมพันธ์ความรักสุดวุ่นวายดูน่าติดตามและน่าเอาใจช่วยตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีความน่ารำคาญหรือน่าหงุดหงิดสักเท่าไหร่ เพราะมันก็คือการสะท้อนวิวัฒนาการของตัวละครไปพร้อม ๆ กันด้วย เรื่องราวของบทสรุปความรักของลาร่าจีน การเล่าเรื่องและบทกลับมาทำได้อย่างลื่นไหล เช่นเดียวกับภาคแรก เทียบกับปมในภาคสอง เรื่องนี้ดีกว่ามาก ๆ และเหมือนจะให้ความสำคัญกับป๊อบ คัลเจอร์ (หรือวัฒนธรรมร่วมสมัย) ในเอเชียอย่างจัดเต็ม (การมีเพลงเคป๊อบจากวงดัง ๆ ทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นของวงระดับโลกอย่าง BLACKPINK ที่เปิดเน้นไปที่ท่อนของลิซ่า ลลิษา มโนบาล ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายเอเชี่ยน วง Cherry Bullet และ วงที่ใครตามติ่งมาตั้งแต่รุ่นบุกเบิกก็ต้องไม่พลาดกับเพลงเปิดดังของวง Girl Generation) หนังพาเราไปสำรวจกรุงโซล ประเทศเกาหลี วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่เป็นของลาร่าถูกนำเสนอออกมาแบบทัวร์พาท่องเที่ยวสลับกับการสำรวจชีวิตของลาร่า และใส่ปมต่าง ๆ เข้ามาให้เราขบคิดตามว่า ชีวิตของเราจะเป็นเหมือนเดิมชั่วนิรันดร์หรือไม่ ขณะเดียวกัน มีช่วงของการพาเราไปเที่ยวนิวยอร์กที่ถ่ายทำออกมาได้สวยงามและเป็นช่วงที่เรารู้สึกอบยิ้ม ที่ได้เห็นคนหลากชาติพันธุ์มากหน้าตาโผล่มา ทั้งในฐานะเพื่อน ที่ปรึกษา และคนธรรมดาที่มีชีวิตเป็นของตัวเอง ตั้งแต่ก่อนจบจนถึงวันจบการศึกษา ใครเคยผ่านการเรียนมัธยมคงอมยิ้มและนึกถึงช่วงเวลาที่คล้ายคลึงกับภาพยนตร์ด้วยสิ่งที่ชวนให้น่าติดตามมาก ๆ คือหนังจะไม่เน้นความรักจ๋า ๆ หรือหวานเจี๊ยบ รักหลายเส้าแบบภาคก่อน มันคือการเดินทางค้นหาตัวเองของตัวเอกว่าอยากจะทำอะไร อยากจะเป็นแบบไหน แต่ความรักก็ทำออกมาได้น่ารักและกำลังดีมาก ๆ ในแบบของวัยรุ่นที่กำลังเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เรียกได้ว่าคนเป็นแฟนได้ดูก็คงรู้สึกได้เหมือนกันว่ามันมีช่วงเวลาที่เราไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์จะเป็นอย่างไร
แต่การที่ได้อยู่ไปเรื่อย ๆ อาจจะมีความสุขแล้วก็ได้ แถมนี่เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างหนักหน่วงมาก ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ มีเรื่องของเลิฟซีน เรื่องของเซ็กส์ที่ภาคก่อนยังไม่แตะ แต่รอบนี้คือเป็นปมสำคัญของเรื่องด้วยซ้ำ แต่ช่วงใกล้ท้าย ๆ ก็ทำให้เราคิดถึงตอนดูภาคแรก ที่มีการย้อนให้เห็นจุดเริ่มต้นและปิดฉากได้จนเราได้แต่คิดว่าชีวิตของตัวละครในเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป เหมือนชีวิตคนเราที่มันไม่มีจุดสิ้นสุดด้วยซ้ำ แต่ความรักมันจะอยู่กับเราไปตลอดกาล เพียงแค่เราเลือกมัน เลือกคนที่หัวใจเลือก คนที่เรารักนั่นเองในภาคก่อน ตัวละครเด่นมีแค่ไม่กี่คน ภาคนี้เลยพาเราไปเห็นชีวิตคนรอบตัวของลาร่าจีน เรื่องของปีเตอร์กับพ่อที่เคยทอดทิ้งไปของเขามาเป็นปมปัญหาสำคัญ เรื่องของคริสกับเทรเวอร์ เพื่อนสาวและแฟนหนุ่มของเธอที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่ภาคแรกและคอยเป็นที่ปรึกษาให้กับลาร่า จีน กับความสัมพันธ์ที่อาจกระทบกับมิตรภาพ คิตตี้ น้องสาวผู้ร่าเริงของเธอที่แสดงถึงความเป็นวัยรุ่นที่เพิ่งจะได้มีความรัก หลังจากที่คอยสร้างเรื่องปั่นป่วนมาตั้งแต่ภาคแรก แต่คราวนี้เธอเข้ามาผลักดันความคิดและตัวละครลาร่า จีนไปไกลกว่านั้นอีก และความคิดของผู้หญิงที่อยากทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ความรักของพ่อลาร่า จีน กับทรีน่า ตัวละครใหม่จากภาคที่แล้ว บรรยากาศของวัยรุ่นสมัยวัยเรียน เราจะเห็นได้เห็นตัวละครวัยรุ่นได้เข้ามามีบทบาทของลาร่ามากกว่าภาคก่อน ๆ แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ ตัวละครจอช ที่มาแค่ภาคแรกภาคเดียว แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แถมไม่มีการกล่าวถึงทั้งที่เป็นภาคสุดท้าย และเป็นเพื่อนสนิทกับลาร่า จีนแท้ ๆ กลับไม่ได้มาอยู่ร่วมเลย อาจเพราะเนื้อเรื่องอยากจะให้ความสำคัญกับประเด็นหลักจริง ๆ ทั้งอนาคต เรื่องของการรักตัวเอง การเปิดใจ และการปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความรักในรักห่างไกล ซึ่งเป็นบทสรุปที่น่าประทับใจมากจริง ๆ ใครดูมาครบทุกภาค คงทั้งเสียดาย และดีใจที่เรื่องราวของซีรีส์หนังได้จบลงไปแล้ว แต่ชีวิตเราต้องเดินต่อครับด้วยความที่เมื่อบทให้ความสำคัญกับประเด็นและการเล่าเรื่อง มันจึงแทบไม่มีปัญหาหรือความน่ารำคาญของตัวละครที่เกินความจำเป็น กับเรื่องและมีเสน่ห์แทบทุกตัวละคร องค์ประกอบต่าง ๆ จึงเรียกได้ว่าสมบูรณ์ ทั้งนักแสดงที่ยังคีพบทได้ราวกับเป็นตัวละครนั้น ลาร่า จีนที่นำแสดงโดย ลาน่า คอนดอร์ ก็ยังมีเสน่ห์ น่ารัก น่าเอาใจช่วย และสวยในแบบของตัวเอง สามารถเป็นตัวเอกนำได้อย่างเต็มตัวแล้วหลังจากนี้ไป งานภาพออกมาเสริมเรื่องราวของหนัง ทั้งมุมกล้องที่มีความลงทุนมากกว่าเดิม จับได้หมดทุกประเด็น แถมเพลงที่ประกอบแต่ละเพลงคือเพลงดัง ๆ ทั้งจากของอเมริกาและเพลงเคป๊อบที่ใครได้ฟังเพลงมา คงต้องดีใจที่เพลงเหล่านี้มาอยู่ในหนัง รวมไปถึงดนตรีที่บรรเลงประกอบได้อย่างลงตัว เรียกได้ว่าเป็นหนังรักคุณภาพอีกเรื่องประจำเดือนกุมภาเลยทีเดียว
แม้ว่าจะไม่ได้มีเนื้อเรื่องที่สามารถคาดเดาได้ยากเท่าไหร่ แต่การมีการเล่าเรื่องที่ไม่ออกนอกประเด็น สอดแทรกเรื่องราวของความรักหนุ่มสาวได้อย่างน่าสนใจ มันก็เพียงพอแล้วกับความยาวหนังที่ยาวที่สุดของไตรภาค นั่นคือ 1 ชั่วโมง 55 นาทีวาเลนไทน์ปีนี้ ผมขอแนะนำเลยครับ หนังรักคุณภาพดี ที่ดีกว่าภาคก่อนมาก มีประเด็นมากกว่าแค่ความรัก ไม่หวานเลี่ยน แต่ยังให้บทเรียนในการใช้ชีวิต ความรักที่แสนสดใสและบริสุทธิ์ ปราศจากความเป็นพิษ มีทั้งเพลงเพราะ ๆ ให้ฟัง และงานถ่ายภาพท่องเที่ยวระหว่างเรื่องของนิวยอร์กกับกรุงโซลก็คุ้ม ผมบอกได้เลยว่าอวยเรื่องนี้ได้อย่างไม่อายปาก มันเป็นภาคจบที่สรุปเรื่องราวของความสัมพันธ์ได้อย่างดีเยี่ยม อาจจะไม่ได้ใหม่จ๋า เพราะดัดแปลงจากนิยายรัก แต่มันก็ทำหน้าที่ของมันได้ดี มีหลายรสชาติ เหมือนกับชีวิตคนเราที่ไม่ได้มีแค่มิติเดียว แต่ยังมีหลายแง่มุมให้สำรวจ และผมหวังว่าใครที่มีแฟน หรือ กำลังรักใครสักคน ผมอยากจะบอกว่า รักไปเลย อย่ารีรอ อย่ากลัว เพราะความรักนั้นคือสิ่งที่ใครหลายคนเฝ้าหามาทั้งชีวิต และมันคือสิ่งที่มอบพลังบวกในการเดินหน้าต่อไป จะผิดหวังหรือสมหวัง ลงเอยหรือไม่ ก็ขอให้รักกันเข้าไว้นะครับ นั่นแหละคือชั่วนิจนิรันดร์ เหมือนกับที่หนังเรื่องนี้สรุปให้เราเลย