ดูหนังออนไลน์
ค้นหาหนัง

The Last Shift กะสุดท้าย (2020) [ พากย์ไทย บรรยายไทย ]

The Last Shift กะสุดท้าย (2020) [ พากย์ไทย บรรยายไทย ] เต็มเรื่อง
Youtube Video

หมวดหมู่ : หนังตลก , หนังดราม่า

เรื่องย่อ : The Last Shift กะสุดท้าย (2020) [ พากย์ไทย บรรยายไทย ]

ชื่อภาพยนตร์ : The Last Shift กะสุดท้าย
แนว/ประเภท : Comedy,  Drama
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Andrew Cohn
บทภาพยนตร์ : Andrew Cohn
นักแสดง : Richard Jenkins,  Holden Ochsenhirt,  Da'Vine Joy Randolph
วันที่ออกฉาย : 25 September 2020

 

 

การเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของสแตนลีย์ในการทำงานด้านอาหารที่ไม่สร้างความรำคาญของเขาเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาดใจเมื่อเขากลายเป็นเพื่อนกับพนักงานที่ทำงานชาวแอฟริกัน “The Last Shift” อเมริกันที่มีชีวิตชีวาการเรียกร้องให้หยุดหลังจาก 38 ปีคนงานด้านอาหารเจียมเนื้อเจียมตัวเตรียมการทดแทนวัยเยาว์ของเขาในช่วงสายที่ไก่และปลาของออสการ์

 

OPINION | REVIEW: 'The Last Shift'

IMDB : tt10661180

คะแนน : 5.5

รับชม : 2084 ครั้ง

เล่น : 300 ครั้ง



 

 

ตอนที่ผมดูหนังเรื่องนี้จบ ช่วงที่ End Credits กำลังขึ้น ผมพบว่าตัวเองกำลังพยักหน้าเบาๆ ราวกับกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ และขณะเดียวกันการพยักหน้าที่ว่าก็มาจากความรู้สึกของผมที่ยอมรับหนังเรื่องนี้ในระดับหนึ่ง

โอเค… อย่างแรกเลยคือหนังมันไม่ตรงกับที่ผมคิดไว้ คือผมอ่านเรื่องย่อมันจะประมาณว่าเป็นเรื่องของสแตนลี่ย์ (Richard Jenkins) พนักงานร้านฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่งที่ทำงานมา 38 ปีและกำลังจะออกจากงาน แล้วก็มีพนักงานใหม่เข้ามานามว่าเจวอน (Shane Paul McGhie) ซึ่งสแตนลี่ย์ก็ต้องทำหน้าที่สอนงานให้กับเด็กใหม่ก่อนที่เขาจะเกษียณตัวเองไป

จากเรื่องย่อมันทำให้ผมคิดไปว่าตัวเองกำลังจะได้ดูหนังประเภท “คนสองคนใช้เวลาร่วมกันในคืนๆ หนึ่ง” ประเภทว่ามาคุยกัน แลกเปลี่ยนมุมมองหรือประสบการณ์ชีวิตกัน อารมณ์ประมาณ Before Sunrise หรือ Before We Go แต่เป็นเวอร์ชั่นหนึ่งชายชราและหนึ่งเด็กหนุ่มที่คนหนึ่งกำลังจะยุติการทำงาน ส่วนอีกคนเพิ่งเริ่มงานที่นี่

แต่มันไม่ใช่ครับ เรื่องไม่ได้เป็นแบบนั้น ตัวหนังไม่ได้เดินเรื่องในคืนเดียว แต่เดินเรื่องไปแบบหลายวันหลายคืน ถ้าพูดให้ชัดก็เป็นว่าหนังเล่าถึงช่วงสัปดาห์สุดท้ายของสแตนลี่ย์ในการทำงานที่ร้านครับ แล้วเขาก็มีหน้าที่สอนเจวอนในช่วงกลางคืน (เพราะพวกเขาทำงานกะดึก) ส่วนกลางวันทั้งสแตนลี่ย์และเจวอนก็ไปใช้ชีวิตของตนเอง อย่างสแตนลี่ย์ก็กำลังวางแผนจะดูแลแม่ของเขาหลังออกจากงาน ส่วนเจวอนก็กำลังก่อร่างสร้างชีวิตใหม่ เพราะก่อนหน้านี้เขาเพิ่งติดคุกมาครับ เลยต้องเริ่มต้นอะไรต่อมิอะไรใหม่ในสังคมที่หลายๆ คนก็ไม่ค่อยจะวางใจในตัวเขา ตั้งแต่คนในที่ทำงานยันแฟนของเขาที่ก็ไม่ค่อยจะเชื่อในตัวเจวอนเหมือนกัน

ถ้าถามว่าเสียดายไหมที่หนังไม่เป็นแบบที่คิด? ก็ยอมรับว่ามีบ้างครับ เพราะจริงๆ พล็อตแบบนี้มันเอื้อให้ 2 ดารานำแสดงฝีมือและสามารถสอดแทรกประเด็นต่างๆ ใส่ลงไปผ่านการสนทนาได้อย่างดี ยิ่งตัวละครคนหนึ่งเป็นคนแก่ที่ทำงานในร้านนี้มาตั้ง 38 ปี กับเด็กหน้าใหม่ที่ไม่ได้สนใจงานนี้ด้วยซ้ำ แค่นี้ก็มีประเด็นให้แลกเปลี่ยนกันมากมายแล้วครับ อย่างการให้สแตนลี่ย์เปิดเผยความรู้สึกเกี่ยวกับงาน เกี่ยวกับที่เขาทำมานานแล้วมันกำลังจะจบลง แล้วก็ให้เด็กรุ่นใหม่เสนอมุมมองตัวเองสะท้อนกลับไป ผมว่าอะไรเหล่านี้น่าสนใจอยู่นะ

จริงๆ ในหนังก็มีฉากที่พวกเขาคุยกันระหว่างทำงานบ้างน่ะครับ บางจังหวะก็ทำได้ไม่เลว แต่ส่วนใหญ่มันออกจะเรื่อยๆ ไม่ได้มีประเด็นการสนทนาที่เด่นชัดอะไรนัก จริงๆ บางช่วงก็มีการเปิดประเด็นที่น่าสนใจนะครับ แต่หนังเลือกที่จะจบฉากนั้นลงในเวลาอันสั้น แทนที่พวกเขาจะได้คุยแลกเปลี่ยนกันก็กลายเป็นแยกย้ายกันไปไม่ได้สานต่อการสนทนา ตัดมาอีกทีก็ตอนเช้าเลยอะไรทำนองนั้น

 

 

The Last Shift (2020) - Rotten Tomatoes

 

สรุปคร่าวๆ คือตัวหนังไม่เป็นอย่างที่คิด การเดินเรื่องก็ออกจะเรื่อยๆ มาเรียงๆ ถ้าให้พูดตรงๆ เลยคือบทยังไม่แน่นมากนักครับ แต่ยังดีที่ได้การแสดงระดับเทพๆ ของ Jenkins มาช่วยไว้ รายนี้นี่ต้องยอมรับเลยว่าแสดงหนังได้ดีมาก บทสแตนลี่ย์ของเขานั้นมีความซับซ้อนพอสมควรเลยครับ และ Jenkins ก็สามารถถ่ายทอดอากัปกิริยาและความรู้สึกของตัวละครนี้ออกมาได้อย่างดี โดยเฉพาะในซีนสุดท้ายครับ คือเล่นได้ดีมากๆ ดีจนเกินหน้าเกินตาตัวหนังเลยก็ว่าได้ และเขานี่แหละครับที่เป็นพลังสำคัญที่ทำให้ผมยินดีดูหนังไปจนจบ… จริงๆ การได้ดูเขาเล่นนี่ก็นับว่าคุ้มอยู่นะ

ส่วน McGhie ก็ถือว่าเล่นดีเหมือนกันครับ เพียงแต่ในแง่บารมีแล้ว Jenkins จะมากกว่าหน่อย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเก่งล่ะครับถึงสามารถเล่นประกบ Jenkins ได้ และรายนี้ก็แสดงได้ดีมากๆ ในซีนท้ายๆ เหมือนกัน (เดี๋ยวผมว่าอีกทีตอนสปอยล์ครับ) ดังนั้นถ้าพูดถึงนักแสดงแล้ว ผมว่าทีมงานเลือกมาดีครับ นอกจาก 2 คนนี้ก็ยังมี Ed O’Neill มาแสดงเป็นเดลเพื่อนของสแตนลี่ย์ รายนี้บทไม่เยอะ แต่ก็ถือว่าแสดงได้ดีทุกทีที่โผล่หน้ามา

พูดได้ว่าหนังเรื่องนี้ดาราดีครับ ในขณะที่บทยังดีได้อีก ซึ่งเรื่องนี้ก็กำกับและเขียนบทโดย Andrew Cohn ที่มากำกับหนังใหญ่เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกครับ (ก่อนหน้านั้นเขาจะกำกับสารคดีเป็นหลัก) อะไรหลายๆ อย่างเลยอาจยังไม่ลงล็อกนักครับ ไม่ว่าจะเรื่องบทที่จริงๆ ก็ไม่เลวนะ แต่อย่างที่บอกครับว่ามันยังน่าสนใจได้อีก หรือการเดินเรื่องที่จริงๆ หนังเดินเรื่องอย่างมีประเด็นนะ แต่ละฉากที่ดำเนินไปมันจะแสดงให้เราเห็นถึงนิสัยใจคอของตัวละคร เพียงแต่การเล่าเหตุการณ์เหล่านั้นมันยังไม่จับใจเท่าไร คือดาราน่ะเล่นดีครับ แต่การดำเนินเรื่อง การเล่าเรื่องมันออกจะเรื่อยๆ ไม่ค่อยขับเน้นสถานการณ์ให้ชวนติดตามสักเท่าไร

ถ้าถามว่าผมรู้สึกยังไงกับหนัง ก็บอกได้ว่าผมชอบนักแสดงครับ และผมชอบแก่นแกนหลักที่หนังต้องการนำเสนอ (อันนำไปสู่บทสรุปในตอนท้าย) เพียงแต่ระหว่างทางมันยังน่าสนใจได้อีก บทสนทนายังมีอะไรได้อีก และการเดินเรื่องยังทำให้น่าติดตามได้อีกน่ะครับ

ของดีอีกอย่างในหนังคือดนตรีครับ เป็นผลงานของ Mark Orton ชื่ออาจไม่คุ้นแต่เขาทำงานในวงการมา 20 ปีแล้วครับ หนึ่งในผลงานที่น่าจดจำของเขาก็คือ Nebraska ของผู้กำกับ Alexander Payne ครับ สำหรับเรื่องนี้ดนตรีถือว่ามีส่วนช่วยในหลายช่วงเหมือนกัน โดยเฉพาะในซีนสุดท้ายอันน่าจะเรียกว่าเป็นซีนไคลแม็กซ์ก็ได้ ซีนนั้นดนตรีได้อารมณ์แบบสุดๆ… พอมานึกๆ ดูโทนดนตรีของ Orton ทำให้นึกถึงหนังของ Woody Allen เหมือนกันครับ ท่วงทำนองหลายอย่างมาทางเดียวกัน เข้ากับหนังที่บอกเล่าเรื่องราวชีวิตคนที่มาในโทนแฝงอารมณ์ขัน เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ได้เน้น Jazz เท่านั้นเอง

มานั่งนึกๆ ดูก็รู้สึกว่าหนังน่าสนใจเหมือนกันนะครับ เพราะหนังมีองค์ประกอบดีๆ หลายอย่าง แต่ตรงการเดินเรื่องกับบทยังไม่เข้าที่ หนังเลยยังไม่ถึงกับน่าดูมากๆ หรือห้ามพลาดสุดๆ

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกแบบชัดๆ เลยคือผมค่อนข้างรู้สึกเรื่อยๆ กับเรื่องระหว่างทางของหนัง จนตอนแรกก็เกือบจะเฉยกับหนังอยู่แล้ว แต่ยังดีที่หนังมาทำคะแนนไปพอสมควรในตอนจบ… ผมว่าผมต้องสปอยล์แล้วครับ ไม่งั้นคาใจ ดังนั้นใครไม่อยากทราบไม่ควรอ่านต่อนะครับ

 

The Last Shift Trailer: The Last Shift - Metacritic

 

เมื่อหนังเดินเรื่องไปถึงจุดหนึ่งมันจะมีเหตุให้สแตนลี่ย์กับเจวอนรู้สึกไม่ดีต่อกันครับ และสุดท้ายก็เกิดเรื่องขึ้น คือมีคนขโมยเงินในร้านฟาสต์ฟู้ดและผู้ต้องสงสัยก็มีแค่ 2 คน ไม่สแตนลี่ย์ก็เจวอนนี่แหละ ซึ่งเราๆ เองดูไปก็พอรู้ครับว่าคนเอาไปคือสแตนลี่ย์นั่นแหละ แต่ด้วยความที่สแตนลี่ย์ทำงานมานาน คนในร้านเลยหันไปสงสัยเจวอนมากกว่าและสุดท้ายเจวอนเลยต้องตกงาน

หลังจากนั้นสแตนลี่ย์ก็ตั้งท่าจะไปเริ่มชีวิตใหม่ครับ แต่สุดท้ายแล้วรถที่ซื้อไว้เพื่อเริ่มชีวิตใหม่ก็ดันเสียซะ สุดท้ายเขาเลยต้องคอตกกลับมาอยู่เมืองเดิม แต่เนื่องจากไม่มีบ้านแล้วเขาเลยต้องไปอยู่บ้านพักสำหรับผู้ไร้บ้านแทน แล้วก็ต้องไปหางานทำซึ่งงานที่ทำก็คืองานร้านฟาสต์ฟู้ดเหมือนเดิมครับ เพียงแต่เขาไปทำที่ใหม่ ไม่ได้มาทำที่เดิมเท่านั้นเอง

ส่วนเจวอนพอตกงานแล้วเขาก็เป๋ๆ อยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งแฟนของเขาบอกแบบตรงๆ ว่าคงไม่กลับมาคบกับเจวอนอีก แต่จะขอให้เขาช่วยดูลูกบ้างเป็นครั้งคราว หลังจากนั้นเขาก็ได้งานที่ห้องสมุดครับ แล้วหนังก็ทำให้เราเห็นว่าจากเดิมที่เขาไม่ค่อยจะเอาจริงเอาจังในการทำงานนัก มาตอนนี้หลังผ่านเรื่องอะไรๆ หลายอย่างเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลง เริ่มตั้งหลัก เริ่มเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ใหญ่ เขาพยายามดูแลลูกให้ดีเท่าที่จะทำได้ พยายามหาหนังสือมาให้ลูกอ่านอะไรทำนองนี้ ว่าง่ายๆ คือความรับผิดชอบของเขาเริ่มจะเพิ่มขึ้นครับ

แล้วทีนี้ในตอนท้ายระหว่างที่เจวอนนั่งอ่านหนังสือให้ลูกฟังอยู่บนรถเมล์ ก็พอดีที่สแตนลี่ย์ก้าวขึ้นมาบนรถคันเดียวกันนั้น ทีนี้พอสแตนลี่ย์เห็นเจวอน และเจวอนหันมาสบตาสแตนลี่ย์ สแตนลี่ย์ก็ออกอาการครับว่าเขาไม่กล้าเผชิญหน้าเจวอน และพยายามลงที่ป้ายถัดไป…

เมื่อสแตนลี่ย์ลงจากรถแล้ว เขายังหันไปมองเจวอนอยู่จนรถลับสายตาไป สีหน้าของสแตนลี่ย์ก็เริ่มซีด มันสื่อถึงความกลัวระคนความสำนึกผิดบางประการ ในดวงตาเริ่มมีน้ำตารื่นขึ้นมา ก่อนจะหันหลังแล้วเดินไปบนถนนที่ไร้ผู้คน… หนังสรุปเรื่องราวของสแตนลี่ย์ไว้ตรงนี้

ตอนแรกผมนึกว่าหนังจะจบแต่กลายเป็นว่าฉากถัดมาเราจะได้เห็นเจวอนนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในห้องสมุด เราจะได้เห็นเขาเริ่มพิมพ์บทความ ซึ่งก่อนหน้านี้หนังได้เกริ่นไว้คร่าวๆ ว่าเขาเคยเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์โรงเรียนมาก่อนครับและยังเขียนได้ดีอีกด้วย… ฉากนี้ก็สื่อให้เห็นครับว่าเจวอนกำลังเริ่มต้นตั้งหลักชีวิตใหม่อีกครั้ง และครั้งนี้เขาดูจะตั้งใจจริง

นี่แหละครับฉากสรุปที่ผมว่าเข้าท่านะ และมันยังทำให้ผมโอเคกับหนังมากขึ้นด้วยเพราะมันมีประเด็นที่มีแทรกอยู่อย่างพอเหมาะ

 

 

The Last Shift Trailer: The Last Shift (Clean Trailer) - Metacritic

 

สิ่งหนึ่งที่หนังค่อยๆ บอกกับเรามาตลอดทั้งเรื่องก็คือ สแตนลี่ย์นั้นภายนอกดูเป็นคนเอาการเอางานและน่าคบหาคนหนึ่ง แต่ลึกๆ แล้วเขาเป็นคนที่มีความลังเล มีความไม่กล้า และเป็นคนที่ชอบหาข้ออ้างมาบอกตัวเองว่า “อันนั้นเราไม่ต้องไปทำหรอก” อย่างเช่น จริงๆ แล้วเขาเคยอยู่ในเหตุการณ์ที่ชายผิวดำคนหนึ่งถูกรุมจนตาย แต่เขาไม่กล้าไปเป็นพยาน เขาพร่ำบอกตัวเองว่าไม่ต้องทำอย่างนั้นหรอก แล้วข้ออ้างเหล่านั้นก็รั้งเขาเอาไว้จนเขาไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องเหมาะควร

หรือกระทั่งในชีวิตของเขาก็ตาม อย่างการที่เขาวางแผนไว้ดิบดีว่าจะดูแลแม่หลังออกจากงาน แต่พอเอาเข้าจริงเพียงแค่รถที่ซื้อมาเกิดพัง เขาก็พร้อมจะล้มเลิกแผนดูแลแม่ แล้วหันกลับมาใช้ชีวิตตามเดิม ทำงานอาชีพเดิม (กลับมาใช้ชีวิตอยู่ใน Comfort Zone เดิม เพียงแต่ย้ายที่ใหม่) เป็นอีกครั้งที่ข้ออ้างทำให้เขาไม่ต้องทำสิ่งที่เขาวางแผนไว้ว่าจะทำ

และหากพิจารณาดีๆ การที่สแตนลี่ย์ทำงานที่เดิมมา 38 ปี ในแง่หนึ่งก็เหมือนเขาจะเป็นคนซื่อสัตย์ขยันทำงานและอยู่แบบพอมีพอกิน แต่จริงๆ แล้วเขาเลือกที่จะทำงานนั้นโดยไม่ขยับขยายไปไหนด้วยสารพัดข้ออ้างที่ฉุดรั้งเขาไว้ให้ทำงานที่นี่ไปเรื่อยๆ… เขาไม่กล้าที่จะก้าวออกไปเผชิญกับอะไรก็ตามที่เขาไม่คุ้นเคย… และเชื่อได้ว่าการที่เขาตัดสินใจยักยอกเงินในร้านก็คงเพราะเขามีข้ออ้างที่มากพอที่จะทำให้ตัวเองตัดสินใจทำลงไปแบบนั้น

ดังนั้นในฉากสุดท้าย เราจึงได้เห็นสแตนลี่ย์พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับเจวอน คนที่เขาทำให้ต้องตกงาน แล้วเขาก็ตาลีตาลานลงจากรถอย่างเร็วที่สุดเพื่อหนีให้พ้นจากการเผชิญหน้านั้น…

สแตนลี่ย์เป็นเหมือนคนอีกมากมายในโลก ที่ “ที่ทางของชีวิตตน” ค่อยๆ ลดลง ไม่ว่าจะลดลงเพราะข้ออ้างที่จำกัดเขตแดนชีวิตตนให้เล็กลงทุกวันๆ (โน่นก็ไม่ทำ นี่ก็ไม่ทำ ทั้งๆ ที่หากทำแล้วก็จะเป็นการเพิ่มพื้นที่ชีวิตตน) หรือไม่ที่ทางก็ลดลงเพราะการตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ จนสุดท้ายความผิดที่ก่อไว้ก็กลายเป็นเครื่องจองจำให้คนผู้นั้นไม่กล้าออกไปไหน กลัวจะไปเจอโจทก์เก่าที่เขาหรือเธอเคยทำผิดเอาไว้

จุดที่น่าสนใจคือจริงๆ ในตอนแรกน่ะคนที่ “ไม่มีที่ทาง” คือตัวเจวอนครับ เขาเพิ่งออกจากคุกมา ใครๆ ก็ไม่ไว้ใจเขา ขนาดคนในครอบครัวยังตั้งคำถามใส่ แต่ในที่สุดเขาก็เลือกที่จะทำแต่สิ่งที่ถูก เลิกทำสิ่งที่ผิด แม้ในตอนที่หนังจบเราอาจไม่รู้ว่าชีวิตของเจวอนจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่เราก็เริ่มเห็นแววดีในตัวเด็กหนุ่มคนนี้บ้างแล้ว… ในแง่หนึ่งสิ่งที่ผลักดันเจวอนในตอนท้าย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาเห็นอาการที่ชวนให้สังเวชใจของสแตนลี่ย์ก็เป็นได้

ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว อย่างเขาว่านั่นแหละครับ

ก็น่าสนใจดีครับ แม้ตัวหนังจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิด และตัวหนังอาจจะไม่ได้ดีมากมายอะไร แต่อย่างน้อยหนังก็มาพร้อมตอนจบที่ชวนให้คิด ไม่แน่ว่าหลังจากดูหนังเรื่องนี้แล้ว ในภายหน้าหากเราคิดจะทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เราอาจจะนึกถึงภาพของสแตนลี่ย์ยามตาลีตาลานไม่กล้าสู้หน้าคนขึ้นมาก็ได้

โดยรวมแล้ว ตัวหนังจัดว่าเรื่อยๆ ครับ แม้จะมีองค์ประกอบที่ดีหลายอย่าง แต่ความน่าสนใจของการเดินเรื่องยังไม่มากนัก แต่ยังดีครับที่ฉากสุดท้ายทำออกมาได้ดี เลยทำให้ผมรู้สึกกับหนังเรื่องนี้ไปในทางบวกมากกว่าจะเป็นทางลบ