หมวดหมู่ : หนังดราม่า , หนังวิทยาศาสตร์ Sci-fi , หนัง Netflix , หนังแฟนตาซี
เรื่องย่อ : The Midnight Sky สัญญาณสงัด (2020) [ พากย์ไทย บรรยายไทย ]
ชื่อภาพยนตร์ : The Midnight Sky สัญญาณสงัด
แนว/ประเภท : Drama, Fantasy, Sci-Fi
ผู้กำกับภาพยนตร์ : George Clooney
บทภาพยนตร์ : Lily Brooks-Dalton, Mark L. Smith
นักแสดง : Felicity Jones, George Clooney, David Oyelowo
วันที่ออกฉาย : 23 December 2020
The Midnight Sky (สัญญาณสงัด) ผลงานกำกับและนำแสดงโดย จอร์จ คลูนีย์ (George Clooney) เป็นเรื่องราวหลังจากหายนะลึกลับที่ทำลายล้างโลกและเผ่าพันธุ์มนุษย์ นักวิทยาศาสตร์ประจำสถานีอาร์กติก (จอร์จ คลูนีย์) พยายามที่จะเตือนนักบินอวกาศที่ปฏิบัติภารกิจอยู่ในห้วงอวกาศ (เฟลิซิตี โจนส์) และลูกเรือของเธอ ถึงอันตรายในการย้อนกลับมายังโลก ในช่วงเวลาที่กำลังเผชิญหน้ากับการสูญสิ้นของเผ่าพันธุ์ ความเป็นมนุษย์ได้กระตุ้นให้พวกเขาติดต่อกัน แม้จะอยู่ห่างไกลกันหลายปีแสง เพื่อเชื่อมโยงผู้รอดชีวิตของมนุษยชาติไว้ด้วยกัน
IMDB : tt10539608
คะแนน : 5.2
รับชม : 14600 ครั้ง
เล่น : 5377 ครั้ง
หนังได้ชื่อว่าเต็งชิงออสการ์สาขาใดสาขาหนึ่ง โดยตัวความหวังมากสุดก็คงเป็นในสาขารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมของ จอร์จ คลูนีย์ เอง ที่เรื่องนี้เหมาทั้งแสดงนำและกำกับ โดยหนังดัดแปลงมาจากนิยายปี 2016 ชื่อ Good Morning, Midnight ของ ลิลี บรูกส์ ดัลตัน เจ้าของรางวัล The Oregon Book Award ในปี 2015 ด้วยฝีมือของมือเขียนบท มาร์ก แอล. สมิธ ที่เคยฝากฝีไม้ลายมือกับการร่วมเขียนบทหนังรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอย่าง The Revenant (2015) มาแล้ว
สำหรับ The Midnight Sky นั้น มีบรรยากาศที่คล้ายคลึงทั้ง The Revenant ในแง่ของชายผู้สู้เพื่อครอบครัว โดยต้องเดินทางฝ่าพายุหิมะและความเหน็บหนาว และหนัง The Descendants (2011) ที่คลูนีย์แสดงนำในแง่คนที่พยายามสานสัมพันธ์กับครอบครัว และยังมีกลิ่นเบา ๆ ของชายผู้เคว้งคว้างไร้หลักยึดจนเกือบสูญเสียสิ่งสำคัญใกล้ตัวใน Up in the Air (2009) อีกผลงานการแสดงหนึ่งของเขาเช่นกัน
ดังนี้น่าจะพอเห็นภาพว่า แม้หนังจะสวมผิวหนังของความเป็นหนังไซไฟอวกาศ ว่าด้วยการแสวงหาถิ่นฐานใหม่บนดาวเคราะห์อันห่างไกล แต่โดยเนื้อแท้มันคือหนังดราม่าที่แต่ละตัวละครยึดโยงกับสาระอันเป็นหัวใจเดียวกัน คือการโหยหาความผูกพัน การกลับคืนสู่บ้านในความหมายถึงครอบครัว ในแง่ใดแง่หนึ่ง มันจึงมีหัวใจของเรื่องแบบเดียวกันกับหนังของ คริสโตเฟอร์ โนแลน อย่าง Interstellar (2014) ที่ว่าด้วย พ่อ-ลูก และอุปสรรคของกาลอวกาศที่กั้นกลาง ด้วยเช่นกัน
อย่างที่หลายคนล้วนบอกไว้ว่า บางทีเราก็ไขว้คว้าหาบางอย่างไกลแสนไกล ทั้งที่จริงมันอยู่ (หรือเคยอยู่) ข้างกายเรามาเสมอ กว่าจะรู้ค่าบางทีก็อาจสายไปเสียแล้ว ซึ่งข้อคิดแบบนี้ก็ทำให้หนัง The Midnight Sky มีคุณค่าหรือน้ำหนักทางความคิดที่จับต้องได้อยุ่ไม่น้อย
และแม้ดูเหมือนว่าหนังช่างดูคล้ายชาวบ้านเขาไปหมด แต่อย่างไรก็ตาม การนำเสนอของหนังมีความเฉพาะตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องแบบคู่ขนาน 2 เหตุการณ์ คือ กลุ่มบนโลกอันได้แก่ ออกัสติน (จอร์จ คลูนีย์) ชายที่เคยถูกหน้าที่การงานพรากครอบครัวของเขาไป ในตอนนี้กำลังพยายามส่งสัญญาณไปยังยานอวกาศที่กำลังกลับมาโลกจากการสำรวจถิ่นฐานใหม่ที่แถบดาวพฤหัสฯ เพื่อเตือนไม่ให้กลับลงมาเพราะในเวลานี้โลกไม่ใช่ที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยรอดแล้ว
ในขณะเดียวกันเขาก็ได้รับโอกาสการเป็นพ่ออีกครั้งเมื่อต้องดูแล ไอรีส (แม่หนูน้อย โคออยลินน์ สปริงกัล) เด็กน้อยที่ถูกทิ้งไว้บนฐานของเขาหลังคนอพยพหนีกันไปหมดแล้ว
และอีกเหตุการณ์คือเรื่องราวบนยานสำรวจอีเทอร์ที่ไม่ได้รับสัญญาณจากโลกจนลูกเรือเริ่มกังวล และเร่งเดินทางกลับมาหาครอบครัวบนโลก โดยเล่าผ่านสายตาของ ซัลลี่ (เฟลิซิตี้ โจนส์) ที่กำลังตั้งท้องอีกที
จะจับได้ว่าแต่ละตัวละครมีความรู้สึกของความเป็นพ่อแม่ ที่ต้องแบกรับภาระ ความรับผิดชอบ (การชดใช้ความผิดพลาด) หรือความรู้สึกอยากปกป้องลูกของตนเองไว้ตลอดเวลา และการแสดงออกเรื่องนี้ก็แตกต่างไปตามสถานการณ์ของแต่ละตัวละคร เรียกได้ว่า The Midnight Sky มั่นคงในการรักษาอารมณ์แบบดราม่าเนิบนิ่ง ซ่อนความหมายแห่งอารมณ์ของตัวละครไว้เพื่อเผยแล้วกระชากใจผู้ชมในช่วงท้ายอย่างมีนัยสำคัญ
โดยระหว่างทางแม้ยังมีฉากปลุกเร้าเราเป็นระยะอย่างการผจญภัยกลางพายุหิมะและทะเลสาบน้ำแข็งที่แตกร้าว หรืออุบัติเหตุกลางอวกาศของลูกทีมยานอีเทอร์ ตลอดจนการใช้งานภาพและซีจีที่สวยงามหมดจดตรึงสายตากับโลกในอนาคต แต่นั่นก็เพียงเป็นการตบตาเราจากสาระสำคัญที่รอการขยี้แรง ๆ เท่านั้น
ซึ่งว่ากันตามตรงน่าเสียดายนิด ๆ เหมือนกันที่จุดเฉลยสำคัญอันหนึ่ง ผู้ชมสามารถคาดเดาได้ไม่ยากตั้งแต่นาทีที่ 50 ของเรื่อง แต่กระนั้นการเฉลยอีกส่วนก็ยังทำเราจุกเล็ก ๆ แต่หนักลึก ๆ ได้อยู่เหมือนกัน และน่าจะเป็นไม้ตายจริง ๆ ของกลวิธีการเล่าเสียมากกว่า เมื่อหนังเฉลยความทะแม่ง ๆ ทั้งหมดในฉากสุดท้ายทีเดียวเลย
สรุป ข้อเสียใหญ่ ๆ ของหนังก็คงเป็นหน้าหนังที่สร้างความเข้าใจว่าหนังเป็นแนวไซไฟ เอาตัวรอดบนโลกอนาคตของคนแก่และเด็กน้อย คล้าย ๆ พวก Bird Box (2018) ซึ่งมาจากโปสเตอร์และตัวอย่างหนังนั่นล่ะ เพราะเมื่อประเมินทั้งหมดทั้งมวล น่าจะกล่าวได้เต็มปากว่า The Midnight Sky เป็นหนังดราม่าครอบครัวมากกว่าหนังไซไฟ และตัวหนังมันก็อาจไม่ได้ถูกใจใครไปเสียหมด แต่ก็มีความดีที่เหนือมาตรฐานอยู่นิดหน่อย และน่าจะยากอยู่เหมือนกันที่จะไปชิงพื้นที่รางวัลใด ๆ ด้วยพลังงานที่ไปไม่สุดอารมณ์แบบนี้