หมวดหมู่ : หนังแอนนิเมชั่น , หนังแอคชั่น , หนังผจญภัย
เรื่องย่อ : Justice League: The Flashpoint Paradox จัสติซ ลีก จุดชนวนสงครามยอดมนุษย์ (2013) พากย์ไทย
ชื่อภาพยนตร์: Justice League: The Flashpoint Paradox จัสติซ ลีก จุดชนวนสงครามยอดมนุษย์
ผู้กำกับภาพยนตร์: เจโอลิวา
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: James Krieg, Geoff Johns
นักแสดง: Justin Chambers , C.Thomas Howell , Michael B.Jordan
แนว/ประเภท: แอนิเมชั่น , แอ็คชั่น , ผจญภัย
ความยาว: 1 ชม. 15 นาที
วันเข้าฉายในประเทศไทย: 30 กรกฎาคม 2556
แฟลช ย้อนเวลาเพื่อไปช่วยแม่ของเขาในอดีต แต่การข้ามเวลาทำให้เกิดปัญหาใหญ่ เมื่อเส้นเวลาของซูเปอร์ฮีโร่แต่ละคนถูกทำให้บิดเบี้ยวและมาปะทะกัน จนเกิดสงครามระหว่างนักรบสาวแห่งอะเมซอน วันเดอร์วูแมน กับเจ้าสมุทรแอตแลนติก อะควอแมน ซึ่งแฟลชและเพื่อนซูเปอร์ฮีโร่จึงต้องหาทางหยุดความขัดแย้งครั้งนี้ให้ได้
IMDB : tt2820466
คะแนน : 8.1
รับชม : 5288 ครั้ง
เล่น : 1491 ครั้ง
Justice League: The Flashpoint Paradox นั้นก็ Adapt มาจาก Flashpoint (2011) ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ The Flash นักวิ่งลมกรดสีเลือด ซึ่งอยู่ดีๆก็ตื่นขึ้นมาและค้นพบว่า แม่ของตนยังมีชีวิตอยู่ Batman ไม่ใช่คนเดิม Justice League (ซึ่งมันก็ชัดเจนมาก ว่าจริงๆแล้ว DC เอาคำว่า Justice League มาแปะไว้ที่หัวเรื่อง ด้วยเหตุผลทางการตลาดเท่านั้น) ไม่มีตัวตน Atlantis ทำสงครามกับ Amazon โดยมี Aquaman และ Wonder Woman เป็นผู้นำ Supervillainทั้งหลาย กลายเป็น Superheroes เพราะ สองสุดยอดอารยธรรมของโลกห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด และจะไม่ยอมกัน ถึงแม้โลกจะต้องแตกก็ตาม
ถึงแม้ว่า พล็อตเรื่องดังที่กล่าวมาอาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แม้แต่ในวงการ Comics เองก็ตาม (Marvel ได้เล่าเรื่องที่คล้ายกันกับ X-Men: The Age of Apocalypse ในปี 1995) แต่การได้เห็นเรื่องราวดังกล่าว วิ่ง และ เคลื่อนไหวบนจอทีวีนั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่งตลอด 81 นาทีนี้
Animationเรื่องนี้ ถึงแม้รวมๆจะเป็นหนังที่ไม่ต้องอาศัยการตีความที่มากมายซับซ้อน แต่ก็คงต้องพูดได้ว่าไม่เหมาะสำหรับเด็ก ด้วย Rating PG-13 นี้ ผู้กำกับ Jay Oliva ได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการผลักดัน Theme ผู้ใหญ่ๆลงไป ด้วยเลือด, Suggestive Sexual Interaction, ความสัมพันธ์ฉันท์ชู้ และที่สำคัญคือ ฉากบางฉากที่”เห็นลึกกว่าเลือด” ฉากหลายๆฉากนั้น ช่วยให้เนื้อเรื่องดำเนินไปด้วยความเข้มข้น และ ตึงเครียด ซึ่งก็นับว่าไม่ได้รุนแรงอย่างไร้สาระในความเป็นหนัง และอีกอย่างหนึ่งที่น่าคิดคือ เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นใน Alternate Reality ความบิดเบี้ยวของการกระทำของตัวละคร นั้นการันตีว่าจะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ในโลกปรกติ องค์ประกอบเหล่านี้ ยิ่งทำให้ความรุนแรงในเรื่องนั้น “กระชากอารมณ์” คนดูได้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น ในหลายๆช่วง ผมก็มีความคิดในใจอยู่ว่า “มันต้องทำกันถึงขนาดนี้เหรอ” แต่พอดูจนจบเรื่อง ทุกอย่างมันก็ตอบคำถามของตัวเองได้หมด ในสิ่งที่ตัวหนังต้องการจะสื่อ ทั้งกับความแตกต่างระหว่างโลกเก่า กับโลกใหม่ แถมมีบทเรียนสอนใจเล็กๆน้อยๆ(แต่ไม่ใช่เรื่องใหม่) ระหว่างเรื่องดังกล่าว ให้คนดูเก็บกลับไปหลังดูจบด้วย เช่น การที่เราควรจะพอใจในสิ่งที่มีอยู่ และ ให้อภัยกับความสุดวิสัยของตัวเอง เป็นต้น
ในแง่ของภาพ นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเข้าใจได้ว่า ในแง่ของ Animation 2มิติแบบนี้ ญี่ปุ่นนั้นได้ก้าวล้ำทางฝั่ง อเมริกา ไปค่อนข้างไกลจริงๆ ภาพในเรื่องนั้นเป็นแนว American Animation ที่ถึงแม้จะผสมความเป็นญี่ปุ่นลงไปบ้าง แต่ก็ครึ่งๆกลางๆยังไม่เข้ากันดี และเป็นจุดแรกที่ให้โอตาคุสายญี่ปุ่นทั้งหลาย ได้ร้องยี้ และ ลงความเห็นได้เลยทั้งที่ยังไม่ได้ดูว่าเรื่องนี้ “กาก” , ”ภาพไม่สวย” ซึ่งเอาเข้าจริงๆ มันก็ไม่สวย และ details น้อยไปจริงๆเมื่อเทียบกับงานในอุตสาหกรรมเดียวกันข้ามทวีป ถ้าให้เจาะลึกลงไปอีกก็คือตัวละครหลายๆตัว “ล่ำ” เกินไปจนดูผิดรูป “หัวเล็ก” จนผิดสัดส่วน ค่อนข้างที่จะมากไปแม้แต่จะเทียบกับของในประเทศก็ตาม
แต่คนดูที่ช่างสังเกตก็จะสามารถจับได้ว่า Animation เรื่องนี้ ไม่ได้เป็นภาพเคลื่อนไหวสองมิติ ที่”ทุนต่ำ” อย่างแน่นอน เมื่อคำนึงถึง Frame rate และ ความละเอียดในการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะการวิ่งของ Flash ซึ่งค่อนข้างที่จะอลังการในความรู้สึกด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าภาพอาจจะไม่ส่ง มันไม่มีการใช้ฉากซ้ำ, รูปหน้าซ้ำ ที่น่ารำคาญแบบอนิเมชั่นญี่ปุ่น ซึ่งตรงจุดนี้ก็ต้องนับว่าเป็นข้อดีของความไม่มักง่าย และไม่เผางานจนเกินไป (ความไม่ละเอียด และความ “Cheap” ของเรื่องนี้ มักจะอยู่กับอะไรที่ไม่เป็นจุด Focus เช่นการ “Spar” กันของทหาร ระหว่างตัวละครหลักกำลังต่อสู้ หรือ หน้าตาของตัวละครที่ตาย)
และผมก็มีจุดที่คิดว่าน่าพูดถึงเป็นการส่วนตัวก็คือ Amazon เผ่าพันธุ์ที่ไม่ค่อยได้โอกาสในการทำเป็น Animation นั้นได้รับการวาดอย่างสมกับเป็นนักรบจริงๆ ไม่มีความอ้อนแอ้นแบบผู้หญิงเลยแม้แต่น้อย ซึ่งผมก็โอเค ชอบ และพอในใจการตีความแบบนี้ แต่มันก็มี Wonder Woman ที่ถึงแม้จะมีการแต่งตัวที่อลังการกว่าปรกติมาก ดูสง่างามสุดๆ แต่ T_T หน้าตาโคตรจะไม่ดี ไม่สวย ทหารอเมซอน หลายๆตัวยังหน้าตาดีกว่าเลย ผิดหวังสุดๆเลยครับ กลับไปอ่านหนังสือการ์ตูนดีกว่า…
ในเรื่องของความเหมาะสม ผมไม่ได้เชี่ยวชาญและไม่ได้ดู Animation แบบอเมริกันมากพอ เลยสงสัยว่าชาติเขาไม่มีสไตล์การวาดแบบอื่นเลยหรือ? เพราะสไตล์นี้มันทำให้โทนของเรื่องนั้นดู “เด็ก” และอ่อนวัยเกินเรื่องและโทน ที่จะค่อนข้างเข้มข้นเป็น ”ผู้ใหญ่” ซึ่งเห็นได้ชัดว่าขัดและไม่เข้ากัน
ซึ่งมันก็น่าผิดหวังมากๆ ซ้ำยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อหน้าปกสุดสวยนั้นค่อนข้างที่จะชี้นำตอนซื้อว่า คนดูน่าจะได้รับชมงาน Animation วาดละเอียด เชิง Realism มากกว่าสิ่งที่เป็นในแผ่นจริงๆ
ฉากแอ๊คชั่นของเรื่องนั้นก็ไม่ได้น่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย มันถูกอัดฉีดมาด้วยความรุนแรง และขับเคลื่อนเรื่องราวได้อย่างเหมาะสม มันดูสนุกเพลินเพลิน และทำให้ 81 นาทีนั้นผ่านไปไวอย่างกับโกหก ในเรื่องนี้ คนดูจะได้สัมผัสกับ การต่อสู้ระหว่าง Atlantean กับ Amazon ซึ่งมันน่าสนใจอย่างแน่นอน เพราะเป็นสงครามระหว่าง อารยธรรมไฮเทค กับ เผ่าพันธุ์นักรบ
และที่สำคัญ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็น ตัวละครเทห์ๆซักครั้งในชีวิตของ Aquaman ฮีโร่สุดเห่ยของ DC Universe ซึ่งในเรื่องนั้น ต้องบอกว่าเหวี่ยงและเสียดแทงด้วยสามง่าม(ซึ่งจริงๆมีห้าง่าม) ได้อย่างสมศักดิ์ศรีราชาแห่งแอตแลนติสจริงๆ มันทำให้เราเข้าใจได้ว่า ใน DC Universe ถ้าขาด Superman Superheroes ที่เก่งที่สุดในโลก คงหนีไม่พ้น Aquaman และ Wonder Woman ผู้ซึ่งทั้งคู่มีประเทศ และกองทัพของตัวเอง ที่สามารถยึดครองโลกได้อย่างแน่นอนถ้าต้องการ The Flash ก็โชว์ลีลาได้ยอดเยี่ยม ในแบบที่เราไม่เคยได้เห็น และอาจจะจินตนาการไม่ออกตอนอ่าน Comics ซึ่งก็คงจะช่วยให้ใครๆหายสงสัยได้ว่า เป็นฮีโร่ที่มีดีแค่วิ่งเร็วมันจะทำอะไรได้
ถ้าจะมีอะไรให้ติ ก็คือ ผมคิดว่าเราสามารถที่จะคาดหวัง Batman กับสไตล์ใหม่นี่ได้มากกว่านี้ หลังจากฉากต่อสู้สุดเทห์ ระหว่าง Batman กับ Yo-Yo ในช่วงแรกของเรื่อง เราก็ไม่ได้เห็นอะไรที่พิเศษอย่างนั้นอีกเลย
เรื่อง ของAnimation เรื่องนี้นั้น โดยรวมๆก็ค่อนข้างจะทำได้เยี่ยมมาก อาจจะเป็นเพราะว่ามันผ่านการกรองมาสองต่อแล้ว ตั้งแต่ตอนที่มันเป็นการ์ตูน และ มาเป็นหนัง มันดำเนินเรื่องได้อย่างหนักแน่น และ เข้มข้น และมีฉากหลายๆฉากที่เรียกได้ว่า ดราม่า กระชากอารมณ์ เรียกน้ำตา ได้อย่างซาบซึ้งและกินใจจริงๆ ซึ่งก็ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องนี้จะทำได้ถึงขนาดนั้น เมื่อคำนึงถึงว่า มันเน้นหนักไปที่ แอ็คชั่น และถูกถ่วงลงด้วยภาพที่ด้อยคุณภาพ ในจุดดีๆหลายๆส่วน ก็ควรจะถูกยกให้เป็นเครดิต ให้กับนักพากย์หลายๆคน ซึ่งชวนให้เชื่อได้จริงๆว่านั่นคือเสียงของ Allen Barry, Victor Stone, Hal Jordan และ Bruce Wayne และถึงแม้ว่าแนวทางของพวกเขาจะไม่ Dramatic เหมือนกับนักพากย์ญี่ปุ่น แต่ก็ Subtle และละเอียดอ่อน เพียงพอที่จะให้คนดูอินไปกับการเคลื่อนไหวทางอารมณ์ของเรื่อง
แต่สำหรับตัวละครแต่ละตัวนั้น ถึงแม้ว่าในตอนแรก อดีต Superheroes ทั้งหลายจะดูหลุดจากกรอบคาแรคเตอร์ของตัวเองไปอย่างมาก สำหรับคนที่รู้ว่าตัวไหนเป็นตัวยังไง แต่ถ้าดูในส่วนของบริบทในเรื่องนี้แล้ว มันไม่ได้เรียกว่า มากเกินไปเลย มันเป็นไปได้แน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นแง่ไหนก็ตาม ซึ่งก็เป็นการตีความใหม่ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ยกเว้นแต่พวก อดีต Supervillains ซึ่งเอาจริงๆก็ไม่ได้รับคำอธิบายเท่าที่ควรว่าทำไมถึงไม่ทำอะไรร้ายๆแบบที่ควรจะทำ แต่ด้วยความที่ว่าตัวละครพวกนี้ ไม่ได้เป็นส่วนที่สำคัญจริงๆของหนัง เป็นแค่ตัวประกอบ ความหลุด ณ ตรงนี้จึงยังทำให้หนังขับเคลื่อนต่อไปได้ ยังไม่ร้ายแรง และให้พออภัยได้
แต่มันก็มีจุดที่เรียกได้ว่าเป็น Plot Hole สำหรับเรื่องนี้เหมือนกัน เมื่อ Batman ซึ่งเป็นสุดยอดนักวางยุทธวิธีของโลก ส่งคนในทีมของตัวเอง คนหนึ่งไปสู้กับคนเดียวในโลกที่น่าจะทำให้เขาแพ้ได้ ซึ่งก็แน่นอนว่าแพ้…
Shazam ที่ดูจะบ่มิไก๊ เกินไป และไม่ได้โชว์ความสามารถอะไรเลย
เหล่าทหาร ของทั้ง Atlantis และ Amazon ก็ดูมีจำนวนน้อยเกินไปในจอ ซึ่งก็ขัดกับสเกล และความเสียหายของสงครามที่ได้กล่าวไว้ในเรื่อง
สรุปคือ นี่เป็น อนิเมชั่น อเมริกัน ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ The Flash แต่กระทบถึงโลก และกระเทือนถึง DC Universe ได้เลยทีเดียว มันเป็นเรื่องราวที่เข้มข้น เต็มไปด้วยความรุนแรง เต็มไปด้วยการตีความใหม่ที่น่าจดจำของตัวละครต่างๆด้วยContext ของการเป็น Alternate Reality มีฉากแอ็คชั่นที่ดูสนุกดูเพลินมากๆ แทรกไปกับการเล่าเรื่องดีๆ และการพากย์ที่”เข้าถึง”ตัวละคร แต่ว่างานภาพของหนังเรื่องนี้นั้น ค่อนข้างจะขาด, ถ่วง และ ไม่เหมาะสมกับโทนเรื่อง ผมได้แต่จินตนาการว่า ถ้าเรื่องนี้ ได้ใช้งานกำกับศิลป์แบบเกม Injustice: Gods Among Us มันก็คงจะสุดยอดเลย
ถึงอย่างไรก็ตาม ความดราม่าและเรียกอารมณ์ของเรื่องนี้นั้น เรียกได้ว่าทะลุและเอ่อล้นออกเกินภาพที่เห็นจริงๆ ยิ่งสำหรับแฟนๆ ของ DC Universe นั้นไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับฉากสุดท้าย ซึ่งเรียกได้ว่าคุ้มค่าพอที่จะจ่ายเงิน มาดูเลยทีเดียว เมื่อ Hermes สมัยใหม่อย่าง The Flash ไม่ได้เป็นแค่ผู้นำสารธรรมดา หากแต่ส่งมาด้วยความเข้าใจ และ ประสพการณ์ที่ลึกซึ้ง ระหว่าง ผู้ส่ง ตัวกลาง ผู้รับ เมื่อเขาได้เปลี่ยน พรสวรรค์(Gift) ของเขา ให้เป็น ของขวัญ(Gift) นี่เป็นฉากเรียกน้ำตาแห่งความปลาบปลื้มที่ได้ผล และไม่คาดฝันที่ว่าได้รับจากเรื่องนี้จริงๆ…