หมวดหมู่ : หนังสารคดี , หนังอาชญากรรม , หนัง Netflix
เรื่องย่อ : American Murder: The Family Next Door ครอบครัวข้างบ้าน (2020) [ บรรยายไทย ]
ชื่อภาพยนตร์ : American Murder: The Family Next Door ครอบครัวข้างบ้าน
แนว/ประเภท : Documentary, Crime
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Jenny Popplewell
บทภาพยนตร์ : -
นักแสดง : Nickole Atkinson, Jim Benemann, Luke Epple
วันที่ออกฉาย : 30 September 2020
หนังสารคดีที่นำคุณไปพบกับคดีสะเทือนขวัญอเมริกาเมื่อปี 2018 เมื่อหญิงสาวที่กำลังตั้งท้องและลูกสาววัยเด็กสองคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจากบ้านและสามีของเธอตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องท่ามกลางการปิดบังอำพรางคดีที่น่าขนลุกทั้งก่อนและหลังการเปิดเผยความจริงทั้งหมด
IMDB : tt12987894
คะแนน : 7.2
รับชม : 4618 ครั้ง
เล่น : 1064 ครั้ง
ย้อนกลับไปในปี 2018 ที่เมืองเฟเดริค รัฐโคโลราโด้ มีครอบครัววัตส์ สามีชื่อคริส วัตส์ (33 ปี) ทำงานเป็นช่างเครื่องโรงกลั่นน้ำมันดิบ การงานมั่นคงดี แต่งงานกับภรรยาสาวที่ชื่อ แชนแน่น วัตส์ (34 ปี) ทำงานเป็นเซลส์ ทั้งคู่รักกันดี และมีลูกสาวสองคน คนโต 4 ขวบ ชื่อเบลล่า และลูกสาวคนเล็ก 3 ขวบ ชื่อเซเลสเต้
13 สิงหาคม 2018 แชนแน่น กลับมาจากการไปคุยงานที่รัฐแอริโซน่า ถึงบ้านประมาณตี 2 โดยเพื่อนสนิทของเธอ ยูทอฟต์ แอตกินสัน เป็นคนไปรับจากสนามบิน โดยคริสก็อยู่กับเด็กๆ ตามปกติ
เหตุการณ์ผ่านไป เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ช่วงเที่ยงแอตกินสันติดต่อแชนแน่นไม่ได้ ด้วยความเป็นห่วงจึงแวะไปดูที่บ้าน ปรากฎว่าไม่มีใครอยู่บ้านเลย เธอเข้าใจว่าคริส คนสามีต้องไปทำงานที่โรงกลั่นน้ำมันตั้งแต่ตี 5 แต่แชนแน่น กับลูกสาวทั้ง 2 คน ก็น่าจะอยู่บ้านสิ
สรุปแล้ว เธอไปเคาะประตูบ้านอยู่นาน ก็ไม่เห็นใคร จึงตัดสินใจแจ้งตำรวจ เมื่อตำรวจมาถึง ก็เดินวนรอบบ้าน ยังไม่สามารถเข้าบ้านได้ ซึ่งสถานการณ์ดูท่าจะไม่ดีแล้ว แอตกินสันจึงโทรหาคริสที่ทำงานอยู่ ให้รีบกลับมาโดยด่วน
เมื่อคริสมาถึง เขาตกใจมาก ที่ภรรยากับลูกสาวหายตัวไป คริสบอกว่าเขาไม่รู้เลยว่าเธอไปไหน เพราะเขาพยายามติดต่อเธอเช่นกัน ทั้งโทร ทั้งแชท แต่แชนแน่นก็ไม่ติดต่อกลับ
นี่เป็นเหตุการณ์ที่น่ามึนงงมาก เพราะแชนแน่นหายตัวไปโดยทิ้งโทรศัพท์มือถือเอาไว้ ส่วนลูกสาวก็หายไปด้วย โดยไม่ได้หยิบผ้าห่มผืนโปรดที่ลูกๆต้องเอาติดตัวไปด้วยเสมอ คือหายไปเลยดื้อๆ แบบไร้ร่องรอย
สิ่งที่ตำรวจเจอในบ้าน คือแหวนแต่งงานที่แชนแน่นถอดไว้ที่หัวเตียง ซึ่งจุดนี้ ทำให้ตำรวจเริ่มถามว่า คริสกับแชนแน่น มีอะไรทะเลาะกันหรือเปล่า ทำไมเธอถอดแหวนแต่งงานไว้อย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เบาะแสอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน บางคนก็อาจจะชอบถอดแหวนก่อนนอน ก็เป็นไปได้เหมือนกัน
นี่คือเรื่องใหญ่ เพราะเมืองเฟเดริค เป็นเมืองเล็กๆ มีประชากรประมาณ 8 พันคน ไม่เคยมีเหตุรุนแรงอะไรเกิดขึ้น แต่อยู่ๆมีคนหายตัวไปถึงสามคนพร้อมกัน และไม่มีใครรู้เลยว่าไปไหน
ขณะที่คริสคนเป็นพ่อ อยู่ๆภรรยา และลูกๆหายตัวไป ทำให้เขาว้าวุ่นอย่างเห็นได้ชัด เพื่อนบ้านคนหนึ่งบอกว่า คริสไม่เคยรู้สึกอะไรมากขนาดนี้ตั้งแต่เขารู้จักมา
หลังคดีเกิดขึ้น 1 วัน เจ้าหน้าที่ FBI จึงถูกเรียกมาจากหน่วยสืบสวนกลาง เพื่อให้คลี่คลายคดี ซึ่งคนแรกที่ FBI เดินหน้าสอบถามคือสามี คริส นั่นเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคดีลักษณะนี้ ผู้ต้องสงสัยอันดับแรกย่อมต้องเป็นคนในครอบครัวอยู่แล้ว
14 สิงหาคม 2018 FBI โทรหาหัวหน้างานของคริสที่บ่อน้ำมัน ว่าวันที่ภรรยาหายตัวไป คริสทำอะไรอยู่ ซึ่งหัวหน้าก็บอกว่าคริสมาทำงานตามปกติ เขาเข้ากะที่เซอร์วี่แรนช์ บ่อน้ำมันที่อยู่กลางทะเลทราย และขลุกอยู่ตรงนั้นทั้งวัน จนเพื่อนของภรรยาโทรมาหา ว่าภรรยาหายไป เขาจึงขอตัวกลับบ้าน
ตำรวจโคโลราโด้ แจกใบปลิวกันอย่างเต็มที่ และมีการลงพื้นที่หากันแบบปูพรม ซึ่งเมืองเล็กๆอย่างเฟเดริคแป้บเดียวก็หาทั่วทั้งเมืองแล้ว แต่ก็ไม่เจอร่องรอยทั้งสามคน มีความเป็นไปได้เช่นกันว่า ทั้งภรรยา และลูกๆ อาจหนีข้ามรัฐกันไปช่วงเช้าหลังคริสไปทำงาน แต่คำถามคือจะไปยังไงล่ะ? รถก็อยู่ในโรงจอด ไม่ได้ขับไปไหน ไม่มีการเรียกแท็กซี่เกิดขึ้น แล้วใครบ้างจะหนีไป โดยไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดตัวไป
เรื่องนี้มีเงื่อนงำแน่นอน เพราะมันไม่มีอะไรปกติเลยสักอย่าง
15 สิงหาคม 2018 หลังทั้ง 3 คน หายตัวไป 2 วัน FBI เรียกคริสมาสอบปากคำ และให้ตรวจโดยเข้าเครื่องจับเท็จ
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตอนที่ตำรวจป้อนคำถามเช่น "คุณรู้เห็นเรื่องการหายตัวไปของภรรยาหรือเปล่า" และ "คุณโกหกในคำให้การหรือเปล่า" คริสตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
บทสรุปคือคริสไม่ผ่านเครื่องจับเท็จ
เมื่อคริสไม่ผ่าน ทำให้คราวนี้ FBI เห็นความผิดปกติอย่างชัดมาก พวกเขาไปสืบค้นข้อความในมือถือของแชนแน่น เจอหลักฐานใน whatsapp ปรากฎว่า มีความห่างเหินกันของสองคน มีข้อความหนึ่งเธอพิมพ์หาแอตกินสันเพื่อนสนิทว่า "ฉันกำลังจะไปทำงานที่ต่างเมือง ฉันจูบเขา แต่เขาไม่จูบกลับ ไม่กอด ไม่จับก้น ไม่ทำอะไรเลย"
จากนั้นก็มีอีกข้อความที่ย้อนกลับไปไกลอีกหน่อย แชนแน่น พิมพ์บอกแอตกินสันว่า "ตอนนี้เด็กๆนอนแล้ว ฉันอาบน้ำเตรียมพร้อม คือฉันอยากมีเซ็กส์กับเขาน่ะ และเขาก็รู้ดี แต่เขากลับเลือกจะไปแข่งวิดพื้น แทนที่จะมานั่งคุยกัน หรือมามีเซ็กส์กับฉัน"
คราวนี้เมื่อ FBI พบร่องรอยความห่างเหิน แน่นอนว่าเหตุผลมีไม่มาก ส่วนใหญ่ ก็จะเกิดขึ้นเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคนอื่น FBI จึงไปสืบในที่ทำงาน และพบว่า คริส มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว กับพนักงานใหม่ของออฟฟิศ ที่ทั้งสาว ทั้งเด็ก และหุ่นดีมาก ชื่อนิโคล เคสซิงเจอร์
คริสถือเป็นคนบุคลิกดี และเขากับนิโคลก็คลิกกันอย่างรวดเร็ว คริสบอกว่าเขามีลูกสาวสองคน แต่กำลังจะเลิกกับภรรยาแล้ว ตอนนี้แยกกันอยู่ (ซึ่งไม่เป็นความจริง) นิโคลก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไร เธอเชื่อ แล้วก็แอบคบกันมาเรื่อยๆ ประมาณ 2 เดือน
นิโคลบอกว่า เธอไม่เชื่อว่าคริสจะเป็นคนร้าย เพราะตอนที่ไปเที่ยว และมีเวลาด้วยกัน เขาก็เป็นผู้ชายดีๆคนหนึ่ง เพียงแค่มีปัญหากับภรรยาเท่านั้น
ตอนนี้ ความตื่นตะลึงของเนื้อข่าว เข้มข้นมากขึ้น เพราะเอกสารการแพทย์ระบุว่า นอกจากเบลล่า และเซเลสเต้ ลูกสาวทั้งสองคนแล้ว แชนแน่นยังตั้งครรภ์ลูกอีกคนในท้อง ซึ่งมีอายุครรภ์ 15 สัปดาห์ และเธอได้แอบตั้งชื่อเรียบร้อยแล้ว คือ นิโค ซึ่งเป็นลูกชาย
เท่ากับว่าคนที่หายไปไม่ได้มีแค่ 3 ชีวิต แต่มี 4 ชีวิต
FBI จี้ถามคริส 5 ชั่วโมงติดต่อกัน สร้างความบีบคั้นอย่างรุนแรง คือถ้าดูจากการวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องต้น คนที่จะก่อเหตุฆาตกรรมหรือเอา 3 คนไปซ่อนได้ มีแค่คนเดียวเท่านั้นคือตัวคริสเอง
วิธีที่เป็นไปได้สูงสุด คือคริสเอาทั้งสามคนขึ้นไปรถคันใหญ่ของเขาที่ขับไปทำงาน จากนั้นเอาไปอำพรางศพ หรือไม่ก็เอาไปขังไว้ที่ไหนสักแห่ง
FBI ถามคริสว่า ลูกสาวคุณหายตัวไปสองคน แต่คุณไม่มีน้ำตาสักหยด มันเป็นไปได้ยังไง คริสตอบว่า เพราะผมยังหวังว่าจะได้เจอพวกเขาที่ไหนสักที่ ซึ่งตำรวจไม่ปักใจเชื่อ ถ้าพ่อแม่ปกติลูกหาย ต้องร้องไห้จนเป็นสายเลือดอยู่แล้ว
จากนั้น FBI บอกคริสว่า อย่ามามัวเล่นเกมอยู่เลย คุณก็รู้ดีว่าทั้ง 3 คน ไม่มีวันกลับมาแล้ว เรามาทำให้ทุกอย่างจบลงดีๆเถอะ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะยื้อ จะช้าหรือเร็วก็ต้องได้คำตอบอยู่ดี ซึ่งถึงจุดนี้ คริสบอกว่าเขาไม่ไหวแล้ว และขอคุยกับคุณพ่อของเขา นั่นคือ รอนนี่ วัตส์
รอนนี่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาคุยกับลูกชายได้ และถึงตรงนั้นทุกอย่างก็พรั่งพรูออกมา โดยคริสนั้นระบายความรู้สึกกับพ่อหมดทุกอย่าง โดยตำรวจได้ตั้งกล้องบันทึกเหตุการณ์เอาไว้
คริส บอกว่า หลังจากที่แชนแน่น กลับมาจากแอริโซน่าราวๆ ตี 2 จากนั้นตอนตี 5 ทั้งคู่ได้คุยกัน โดยคริสขอเลิกกับแชนแน่น เพราะในใจมีคนอื่นแล้ว ซึ่งทำให้อารมณ์ของทั้งสองคนมีความรุนแรงมาก คริสเล่าต่อไปว่า แชนแน่น หายออกไปจากห้อง แล้วไปห้องลูกสาวทั้งคู่ จากนั้นฆ่าลูกทั้งสองคนตาย เพราะถ้าสามีกล้าเลิกก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตอย่างมีความสุขจากนี้ไป ซึ่งทำให้คริสน็อตหลุดไปเลย เขาจึงเดินไปบีบคอเธอตายไปอีกคน
เมื่อเหตุการณ์เป็นแบบนั้นทำให้มีสามศพที่บ้าน และคริสด้วยความสับสนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอำพรางคดี และทำเป็นเหมือนว่าเขาเองก็ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
คำสารภาพจากคริส อย่างน้อยก็ชัดเจนว่า เขามีส่วนกับการฆาตกรรมแน่นอน ไม่ใช่คนที่ไม่รู้เห็นเหตุการณ์แต่อย่างใด
ถึงตรงนี้ ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะดูจากโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ จะเห็นว่าแชนแน่นรักลูกทั้งสองคนมาก คือตัวติดกันตลอด ตรงข้ามกับพ่อ ที่ดูห่างเหินไม่อ่านนิทานให้ฟัง ไม่ยอมเล่นด้วยกัน ดังนั้นคนที่รักลูกมากขนาดนั้น แถมยังมีเด็กในครรภ์อีก จะคิดฆ่าลูกตัวเองได้ลงคอจริงๆหรือ
ครอบครัวของแชนแน่น ไม่มีวันเชื่อว่าลูกสาวของพวกเขาจะทำฆาตกรรม ดังนั้นจึงบอกให้คริสยอมรับความจริงเถอะ ถึงที่สุดแล้ว ยังคิดจะป้ายความผิดให้แชนแน่นอีกหรือไง ถ้ามีความรักเมียและลูกสักเศษเสี้ยว ขอความเป็นลูกผู้ชายครั้งสุดท้าย ปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของเธอด้วย
และในที่สุด คริส ก็ทนแรงกดดันจากทุกด้านไม่ไหว เขาเล่าถึงสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น
13 สิงหาคม วันเกิดเหตุ แชนแน่นกลับมาจากแอริโซน่าตอนตีสอง เธอกลับมาที่ห้องนอน เริ่มลูบไล้สามีและลงเอยด้วยการมีเซ็กส์กัน แต่พอตี 5 ก่อนคริสจะออกไปทำงาน เขาบอกแชนแน่นตรงๆว่า "เราคงไปกันไม่ได้อีกแล้ว" ซึ่งแชนแน่นตอบโต้กลับมาว่า อ้าวแล้วเมื่อคืนคืออะไร ฉันว่าแล้วว่าคุณมีคนอื่นแน่ๆ
ซึ่งคริสก็ยอมรับว่า ใช่ เขามีคนอื่นแล้ว ถึงจุดนี้ แชนแน่นโมโหมาก เธอสวนคืนมาว่า "คุณจะไม่ได้เจอหน้าลูกๆของเราอีกต่อไป อย่ามาแตะต้องฉัน"
คริสฟิวส์ขาด เขาพลั้งมือบีบคอแชนแน่นจนตาย โดยที่เธอไม่ได้สู้เลยด้วย
เรื่องที่สยองที่สุดเกิดขึ้นตรงนี้ เมื่อลูกสาวคนโต เบลล่า 4 ขวบ ได้ยินเสียงพ่อแม่ทะเลาะกันจึงเดินเข้ามาที่ห้องพ่อแม่ แล้วเห็นแม่ล้มลงไปบนเตียงคว่ำหน้าไม่ขยับตัว จึงถามว่า "แม่เป็นอะไร"
ตอนนั้น คริสเองไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาคือฆาตกรไปแล้ว คริสจึงห่อศพภรรยาด้วยผ้าห่มผืนหนึ่งแล้วอุ้มเอาไปไว้ท้ายรถ ก่อนจะอุ้มลูกสาวสองคนขึ้นรถไปพร้อมกันตอนตี 5
เบลล่า ไม่รู้ว่าแม่ตายแล้ว จึงเขย่าตัวแม่ ถามว่าแม่เป็นอะไร แม่สบายดีไหม ซึ่งคริสก็ตอบกลับไปว่า แม่สบายดี จากนั้นเวลาประมาณตีห้าครึ่ง เขาขับรถไปที่ทะเลทราย ซึ่งตอนนั้นลูกสาวทั้งสองคนหลับอยู่บนรถ คริสอุ้มศพออกมา แล้วขุดดินฝังแชนแน่นเอาไว้ในที่ห่างไกล ซึ่งเป็นจุดที่เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะเจอศพ
ตอนนั้นคริสขาดสติไปแล้ว เขาแค่ต้องการหาทางรอดจากสถานการณ์นี้ ดังนั้นต้องกำจัดคนที่เห็นเหตุการณ์อีกสองคนด้วย นั่นคือเบลล่า และเซเลสเต้ ทั้งหมดเพื่อแต่งเรื่องขึ้นมา ว่าแชนแน่นเป็นคนพาลูกๆไปที่ไหนสักแห่ง ซึ่งสุดท้าย ถ้าตำรวจตามตัวทั้งสามคนไม่เจอ เขาเองก็จะรอด แถมกลายเป็นคนน่าสงสารที่โดนเมียและลูกทิ้งอีกต่างหาก
แต่การฆาตกรรมนั้น เกิดขึ้นปุบปับมาก คริสไม่ได้วางแผนอะไรเลยสักอย่าง ทำให้มีช่องโหว่เต็มไปหมด และระดับ FBI ก็เจอพิรุธได้ง่ายดายมากๆ
หลังจากฝังศพแชนแน่น เขาก็มาคิดว่าทำอย่างไร จะกำจัดเบลล่า กับเซเลสเต้ คริสจึงขับรถไปที่เซอร์วี่แรนช์ บ่อน้ำมันดิบของบริษัท ซึ่งเขาเป็นช่างเครื่องอยู่
จากนั้นเขาก็พาลูกสาวสองคน ขึ้นไปที่แท๊งค์น้ำมันขนาดใหญ่ โดยด้านบนของแท็งค์ จะมีรูเล็กๆ ราว 1 เมตรอยู่ สำหรับเปิดดูตรวจเช็กปริมาณน้ำมันดิบ คริสจับเซเลสเต้ ลูกสาวคนเล็ก โยนลงบ่อน้ำมันดิบทั้งเป็น
เบลล่าถามคริสว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซเลสเต้ คริสไม่ตอบเขาเดินไปจับตัวเบลล่าอีกคน และโยนลงแท็งค์น้ำมันที่สูงราว 20 เมตร โดยก่อนที่เบลล่าจะโดนโยนลงไป เธอพูดว่า "พ่อคะ อย่า" แต่คริสก็ไม่สน เขาโยนเธอลงบ่อน้ำมันอย่างเลือดเย็น ลูกสาวทั้งสองคนวัยกำลังน่ารัก กลายเป็นศพอยู่ที่บ่อน้ำมันดิบ ซึ่งถ้าเขาไม่สารภาพเองก็ไม่มีใครรู้ความจริงที่เกิดขึ้น
การพิจารณาคดีของศาลแห่งรัฐโคโลราโด้ เมื่อมีคำสารภาพและหลักฐานที่เด่นชัดทุกอย่าง เจอทุกศพเรียบร้อย จึงได้ข้อสรุปแล้วว่าสิ่งที่คริสบอกตอนหลังสุดคือความจริง เขาฆ่าภรรยา ฆ่าลูกสาวทั้งสองคน และลูกชายวัย 15 สัปดาห์ที่อยู่ในท้องของแชนแน่น
แซนดี้ คุณแม่ของแชนแน่น เธอคือคุณยายของเบลล่ากับเซเลสเต้ มีเรื่องอยากกล่าวต่อศาล ในวันสุดท้ายของคดี เมื่อผู้พิพากษาอนุญาต เธอจึงกล่าวว่า "เรารักคุณเหมือนลูกชาย เราเชื่อใจคุณ ภรรยาที่ซื่อสัตย์ของคุณก็เชื่อใจคุณ คุณน่าจะได้เห็นเบลล่าตอนกำลังร้องเพลงว่า คุณพ่อคือฮีโร่ของเธอ ฉันไม่รู้ว่าคุณมีสิทธิ์อะไรที่พรากชีวิตพวกเขาไป แต่อย่างน้อยฉันเชื่อว่าพวกเธอจะได้กลับคืนสู่อ้อมอกของพระเจ้าแล้ว"
ขณะที่ ซินดี้ วัตส์ คุณแม่ของคริส ก็ใจสลายเช่นกัน เธอไม่รู้ว่าเลี้ยงลูกมาเป็นฆาตกรได้อย่างไร เธอเสียใจกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น เสียใจแทนครอบครัวของแชนแน่นด้วย
ผู้พิพากษามาร์เซโล่ ค็อปคาว กล่าวปิดคดีว่า "ตั้งแต่เขาทำงานมาหลายพันคดีในชีวิต นี่คือคดีที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมมากที่สุด โทษใดที่ต่ำกว่า โทษสูงสุด ก็ไม่สาสมกับการกระทำที่ร้ายแรงของจำเลย"
ศาลโคโลราโด้นั้นมีโทษประหารอยู่ แต่ครอบครัวของแชนแน่น ไปขอร้องอัยการว่าไม่อยากให้คริสได้รับโทษประหาร เพราะไม่ต้องการให้มีคนตายเพิ่มอีกคน ทำให้โทษของคดีนี้ เป็นการจำคุกตลอดชีวิต 5 รอบ คือไม่มีทางที่เขาจะออกมาดูโลกนอกเรือนจำแน่นอน
ปัจจุบันคริส วัตส์ ถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำสำหรับนักโทษร้ายแรง มีการรักษาความปลอดภัยสูงสุด ที่รัฐวิสคอนซิน
และจนถึงวันนี้ ทุกคนก็ไม่เข้าใจว่าคริสทำแบบนั้นทำไม ถ้าอยากแยกทางกัน ก็หย่าสิ ไม่เห็นต้องปลิดชีวิตอีกฝ่ายเลย