หมวดหมู่ : หนังตลก , หนัง Netflix , หนังเกี่ยวกับดนตรี
เรื่องย่อ : Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga ไฟร์ซาก้า: ไฟ ฝัน ประชัน เพลง (2020) [ บรรยายไทย ]
ชื่ออังกฤษ : Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga
ชื่อไทย : ไฟร์ซาก้า: ไฟ ฝัน ประชัน เพลง
ประเภท : Comedy, Music
ผู้กำกับ : David Dobkin
เขียนบท : Will Ferrell, Andrew Steele
นักแสดง : Rachel McAdams, Will Ferrell, Dan Stevens
วันที่ออกฉาย : 26 June 2020
หนุ่มเต้นรำกับเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา Sigrit เพื่อการแสดงของยูโรวอวิชันของ ABBA ที่ Waterloo ในปัจจุบัน Lars (Will Ferrell) และ Sigrit (Rachel McAdams) ทำเพลงด้วยกันในฐานะวง Fire Saga ทำให้ Erick (Pierce Brosnan) เป็นพ่อม่ายของ Lars ลาร์สมีหนึ่งความฝัน: ชนะการประกวดเพลงยูโรวิชัน พวกเขาสมัครเข้าร่วมในSöngvakeppninการคัดเลือกล่วงหน้าของไอซ์แลนด์สำหรับการประกวดเพลงยูโรวิชันและได้รับเลือกให้แข่งขันเมื่อผู้ผลิตเลือกเทปตัวอย่างของพวกเขาแบบสุ่ม Sigrit ผู้เชื่อในประเพณีของชาวเอลฟ์ชาวไอซ์แลนด์ขอให้พวกเขาช่วยพวกเขาในการแข่งขันและถ้าพวกเขาชนะลาร์สอาจสังเกตเห็นเธอในที่สุด การแสดงของพวกเขาเป็นหายนะและ Katiana (Demi Lovato) ผู้มีความสามารถอย่างไม่น่าเชื่อชนะการคัดเลือกล่วงหน้า มีความสุข Lars และ Sigrit มองออกไปที่ปาร์ตี้เรือที่เกิดขึ้นกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ทันใดนั้นเรือก็ระเบิดฆ่าทุกคนบนเรือ Fire Saga ซึ่งเป็นผู้แข่งขันที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวได้รับเลือกให้เข้าร่วมการประกวดเพลงยูโรวิชันปี 2020 ของไอซ์แลนด์
IMDB : tt8580274
คะแนน : 6.7
รับชม : 1244 ครั้ง
เล่น : 287 ครั้ง
ภาพรวมของ Eurovision Song Contest แน่นอนว่าเป็นหนังที่มาพร้อมกับมุกเสียดสีสังคมและวัฒนธรรม โดยเฉพาะการหยอกล้อจิกกัดการจับประกวดร้องเพลงเวทีชื่อดังแห่งนี้ ที่เอาเข้าจริงๆ ก็เป็นมหกรรมการแข่งขันที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะจัดต่อเนื่องกันมากว่า 60 ปีแล้ว แต่ความโดดเด่นของเวทีร้องเพลงแห่งนี้ไม่ใช่แค่เพียงเสียงร้องที่ล้ำเลิศของตัวแทนแต่ละประเทศ ความเล่นใหญ่ของแต่ละชาติต่างหากที่เป็นไฮไลท์ที่น่าสนใจ
หนังฉลาดมากที่เลือกตัวละครหลักมาจากไอซ์แลนด์ ประเทศเล็กๆ ที่โดดเด่นอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือ เป็นชาติที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ และมีนักร้องที่โดดเด่นเข้าแข่งขันสักเท่าไหร่ในแต่ละปี แต่หนังก็เลือกชาตินี้มาสร้างสีสัน ด้วยการผลักดันตั้งสมมติฐานที่ว่า หากถ้าไอซ์แลนด์โดดเด่นบนเวทียูโรวิชั่นจะเป็นอย่างไร (ตามสถิตินับตั้งแต่จัดการประกวดเวทีนี้ขึ้นมา ไอซ์แลนด์ยังไม่เคยชนะเลยสักครั้งเดียว)
การมาของ "ราเชล แม็กอดัมส์" ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย เพราะต้องมาประกบคู่กับ วิล เฟอร์เรล บอกตามตรงว่าทั้งคู่ไม่มีเคมีที่เข้ากันเลยสักนิด เหมือนจะเป็นแคสติ้งที่ดูขัดแย้งกันเบาๆ แต่ปรากฏว่าเหมือนอยู่ในหนัง ทั้งคู่ก็ดูไหลลื่นและเข้าขากันได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางเส้นเรื่องเลิฟไลน์เบาบางที่ยัดใส่เข้ามาแบบงงๆ แต่ก็มีบางมุมที่เรารู้สึกว่าเป็นคู่พระนางที่ไม่มีเสน่ห์ด้วยกันเลยจริงๆ
แต่ ราเชล ก็ยังทำหน้าที่ของตัวเองได้ค่อนน่าพอใจ นี่อาจจะไม่ใช่การแสดงแนวถนัดของเธอสักเท่าไหร่ เพราะเรามักจะเห็นเธอเล่นบนดราม่าจริงจังอยู่บ่อยครั้ง เมื่อมาเล่นคอมมาดีกับตลกมืออาชีพแน่นอนว่าพลังของเธอเข้าไปถึงพวกเขาอยู่แล้ว ขณะที่นักแสดงสมทบอื่นๆ ก็แอบดูไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ "แดน สตีเวนส์" ที่มาเป็นคู่แข่งบนเวทีประกวด เหมือนบทจะมีมิติซับซ้อนให้เล่น แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงตัวเสริมกลวงๆ แม้กระทั่ง "เพียร์ซ บอสแนน" หรือ "เดมี โลวาโต" ก็แค่เข้ามาเป็นตัวประดับให้หนังดูสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น
โดยสรุปแล้ว Eurovision Song Contest ก็เป็นหนังเพลงที่สร้างความบันเทิงให้กับคนดูได้ค่อนข้างน่าพอใจ ถึงแม้ว่าบทจะค่อนข้างอ่อน มุกตลกที่ไม่ค่อยตลก แต่ก็ยังมีหลายมุมที่ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการตามหาความฝัน มองหาแรงบันดาลใจ และต่อสู้เพียงความหวัง ประเด็นต่างๆ นี้มาได้ถูกจังหวะในช่วงที่โลกเพิ่งผ่านการเผชิญหน้ากับความหดหู่มา
Eurovision Song Contest อาจจะยังไม่ใช่หนังตลกที่ดีที่สุด แต่ก็สร้างสรรค์และเสียดสีเวทีการประกวดร้องเพลงที่ยิ่งใหญ่ของภูมิภาคยุโรปได้อย่างน่าประทับใจ และในท้ายที่สุดคนดูก็น่าจะเกิดอาการคล้ายๆ กัน กับการไม่สามารถนำเอาเสน่ห์หลอนๆ ของเพลง "ยายา ดิ๊งด่อง" ออกไปจากหัวได้สักพัก ใครอยากรู้ว่า ยายา ดิ๊งด่อง ก็ตามไปฟังกันในหนังเรื่องนี้...