หมวดหมู่ :
หนังดราม่า
,
หนัง Netflix
เรื่องย่อ : The Other Side of the Wind อีกฟากฝั่งของสายลม (2018) [ บรรยายไทย ]
ชื่อภาพยนตร์ : The Other Side of the Wind อีกฟากฝั่งของสายลม
แนว/ประเภท : Drama
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Orson Welles
บทภาพยนตร์ : Orson Welles, Oja Kodar
นักแสดง : John Huston, Oja Kodar, Peter Bogdanovich
วันที่ออกฉาย : 2 November 2018
หนังเล่าเรื่องแบบหนังซ้อนหนัง ที่ตั้งใจยั่วล้อวงการฮอลลีวูดในสายตาของเวลส์ เมื่อผู้กำกับรุ่นใหญ่นาม เจด แฮนนาฟอร์ด (แสดงโดยผู้กำกับรุ่นเก๋าเจ้าของ 2 รางวัลออสการ์อย่าง จอห์น ฮิวสตัน) ประสบปัญหาเรื่องเงินทุนในการทำหนังเรื่องสุดท้ายให้จบ จึงหวังจะสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนโดยการจัดฉายตัวหนังแบบลับเฉพาะในงานวันเกิดของตัวเอง โดยเชิญดารา ผู้กำกับ นักวิจารณ์ รวมถึงนักข่าว เหยี่ยวข่าวมาทั่ววงการ ยังรวมถึงผู้กำกับดาวรุ่งที่ถือเป็นลูกศิษย์ของเจดอย่าง บรู้ก ออตเตอร์เลก (แสดงโดยผู้กำกับมือทองที่เหมือนลูกศิษย์ของออร์สัน เวลส์ อย่าง ปีเตอร์ บอกดาโนวิช) ด้วย โดยยังตัดสลับกับเนื้อหาในหนังที่ว่าด้วย ชายหนุ่มคนหนึ่งที่บังเอิญพบ สาวสวยปริศนา (แสดงโดย โอจา โกดาร์ แฟนสาวของเวลส์) ที่มีแฟนแล้ว เขาต้องมนตร์สะกดของเธอและเฝ้าติดตามไปทุกหนแห่งตลอดเวลา จนกระทั่งได้มีเซ็กกับเธอในรถโดยมีแฟนของเธอนั่งอยู่ข้าง ๆ และในงานวันเกิดของเจด ทุกคนต่างก็พูดถึงนักแสดงนำชายในหนังคนดังกล่าวที่ชื่อ จอห์น เดล อยู่เป็นระยะแม้เขาจะไม่ยอมมาร่วมงานวันเกิด จนเจดต้องสั่งให้ช่างทำหุ่นแทนเดลวางไว้ทั่วทุกมุมของงานก็ตาม
IMDB : tt0069049
คะแนน : 6.9
รับชม : 387 ครั้ง
เล่น : 17 ครั้ง
The Other Side of the Wind เป็นที่มีปรัชญาในตัวเอง ด้วยหนังซ้อนหนังและก็ซ้อนด้วยชีวิตจริงอีกชั้นหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มถ่ายทำจริงตั้งแต่ช่วงปี 1970 และหยุดบ้างถ่ายบ้าง เปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำ และย้ายประเทศบ่อย รวมไปถึงเปลี่ยนนักแสดงอยู่เรื่อย ถ่ายสมบูรณ์แล้วในช่วงปี 1985 โดยออร์สัน เวลส์ ได้เสียชีวิตลง แต่ว่าม้วนฟิล์มของหนังก็ติดปัญหาคาราคาซังด้านการเมืองระหว่างประเทศอยู่ ทุนสร้างส่วนหนึ่งนั่นได้มาจากพระญาติของราชวงศ์อิหร่าน และต่อมาได้ถูกโค่นล้มเปลี่ยนระบอบการปกครอง ทรัพย์สินทั้งหมดทั้งมวลที่เกี่ยวข้องก็ถูกยึดไว้ รวมไปถึงหนังของเวลส์ เขาเองก็ความพยายามต่อสู้ในชั้นศาลเพื่อที่จะทวงสิทธิ์ของม้วนฟิล์มกลับคืนมา ไม่ประสบความสำเร็จจนถึงการเสียชีวิตของเขา หลายปีต่อจากนั้นมีคนใกล้ชิดเวลส์เอาหนังมาตัดต่อแต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จผล ปี 2017 เครือหนังออนไลน์สตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่อย่างเน็ตฟลิกซ็ได้ประกาศคว้าสิทธิ์ของภาพยนต์เรื่องนี้มาสานต่อ หนังก็ได้ออกฉายผ่านเน็ตฟลิกซ์ไปเรียกว่าต้องใช้เวลากว่า 50 ปีเลยทีเดียวกว่าที่จะได้ชมกันหนังเล่าเรื่องแบบซ้อนหนัง ที่ตั้งใจล้อตั้งใจยั่ววงการฮอลลีวูดในสายตาของเวลส์ เมื่อผู้กำกับรุ่นใหญ่นาม เจด แฮนนาฟอร์ด (จอห์น ฮิวสตัน) มีปัญหาเรื่องเงินทุนในการทำหนังเรื่องสุดท้ายให้จบ
และด้วยหนังอย่าง The Other Side of the Wind คือเป็นหนังที่ดูอาจจะ เข้าถึงยากหน่อยสำหรับบางท่านเพราะว่าด้วยวิธีการตัดต่อ การเคลื่อนกล้อง และการใช้ฟิล์มขาวดำผสมฟิล์มสีอีกเล่าดังกับว่าภาพงานคอลลาจทื่คนเราต้องใช้สมาธิสูงมากในการติดตามภาพยนต์ มันก็ท้าทายดีมั้ยหละ หลายสิ่งเชื่อว่านี่เป็นเหมือนความในใจของเวลส์ โดยที่เขาเอง เวลส์ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้กำกับที่ไม่ชอบให้ใครมาวิเคราะห์ตัวตนของเขาผ่านผลงานเลย เขาก็เลยซ่อนมันทั้งจากทีมงานทั้งจากนักแสดงก็ไม่เคยมีใครรู้เรื่องราวเนื้อหาได้จริง ตลอดของการถ่ายทำภาพยนตร์ เวลส์นั้นเขียนบทด้นสดไปเรื่อย ๆ แปลกมั้ย หลายครั้งปล่อยให้นักแสดงรับเชิญทั้งหลายก็ด้นสดๆด้วยราวกับว่านั่งคุยอยู่กับเวลส์เองเสียมากกว่านะสิ ทว่าเรายังจะเห็นจุดเด่นอยู่หลายที่แฟนๆของเวลส์คงจะสนุกในการที่ได้รู้จักมุมลึกลับซับซ้อนของเขา ดังเช่น มี ความอิจฉาในความสำเร็จของลูกศิษย์ตนเองยามเมื่อตนเองเกิดตกต่ำ รวมถึง ประเด็นเรื่องเพศประเด็นเกย์ซึ่งเริ่มมีให้เห็นออกมาเรื่อยๆขึ้นในยุค 1970 นั้นเอง
แถมประเด็นหญิง ชาย อยู่โดยเหมือนหนังจะอยู่ข้างผู้หญิง ฉากการฉายภาพเรือนร่างของหญิงสาวอย่างโย่งครึ้มและฉากรักเร่าร้อนก็มี ในหนังออนไลน์นั้นมีความเสียดสีการให้เห็นผู้หญิงแก้ผ้ามีแต่เรื่องรักและความใคร่อยู่ตลอดเวลา แบบว่าฉันทำหนังแบบพวกฮอลลีวู้ดโปรดปรานแต่มันกลับไม่มีใครสนใจฉันเกินไปกว่าเรื่องความสัมพันธ์ของเจดกับเดล ซึ่งเป็นดาราผู้โด่งดังดังที่ถูกชุบชีวิตใหม่จากเด็กที่หนีออกจากบ้านผู้กำกับใหญ่ก็เป็นเหมือนวาระซ่อนเร้นหรือการเปรียบเปรยที่ครอบคลุมหนังออนไลน์อยู่ทั้งหมดดังนั้นการตีความผ่านชีวิตผ่านสายตาของออร์สัน เวลส์ มันจึงจะควรค่าแก่ชื่อเรื่องอย่าง The Other Side of the Wind เป็นอย่างยิ่ง ภาพยนตร์จึงเป็นเหมือนภาพสะท้อนชีวิตของออร์สัน เวลส์ เองมากกว่าภาพยนตร์ที่มีความเป็นหนังส่วนตัวสูงเอาการและถ้าจะเรียกให้ถูกมันคือ หนังซ้อนหนังที่ซ้อนชีวิตจริงอีกชั้นหนึ่งไปเลย มันก็เป็นปรัชญาได้ด้วยตัวของมันเองอย่างสมบูรณ์แบบลงตัวอยู่ มันอาจจะทำให้เราได้เห็นว่าอีกฝั่งของสายลมเป็นยังไงกันนะ