หนังจากเน็ตฟลิกซ์มีน่าสนใจหลายเรื่อง แต่ก็ต้องยอมรับว่าก็มีมากเรื่องเหมือนกันที่มันดูไม่สนุกหรือสนุกไม่สุดเท่าไหร่ แต่กลับ Isn’t It Romantic นั้นถือเป็นหนังที่ดูเพลินและรู้สึกลงตัวเรื่องหนึ่งทีเดียว และความพิเศษของหนังเรื่องนี้อีกประการคือ หนังลงสตรีมมิ่งหลังจากเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ที่อเมริกาเพียง 2 อาทิตย์เท่านั้นด้วย เรียกว่าฉายชนโรงเลยทีเดียว
ผู้กำกับของเรื่องคือ ทอดด์ สเตราส์-สคุลสัน จากหนังตลกล้อเลียนหนังเขย่าขวัญอย่าง The Final Girls (2015) ซึ่งเขาต้องศึกษาหนังโรแมนติกมากกว่า 90 เรื่องเพื่อกำกับหนังเรื่องนี้เลยทีเดียว โดยเขาให้สัมภาษณ์ว่าหนังเรื่องนี้ตั้งโจทย์มาจากการศึกษาหนังรักว่ามีผลทางบวกหรือลบกับผู้ชมกันแน่? มันผลักให้คนรู้สึกโดดเดี่ยวหรือป่าว? เพราะมันบอกว่าเราไม่มีทางรู้สึกเติมเต็มหากปราศจากใครอีกคนเข้ามาในชีวิต และหนังก็เลยใช้อ้างอิงจากหนังรักตัวกลั่นมามากมายโดยเฉพาะ Pretty Women ที่ถูกล้อหลายมุกทั้งเป็นหนังที่นางเอกดูตอนเด็กก่อนถูกแม่ทำลายความฝัน แล้วชุดกับฉากในหนังที่นางเอกใส่ก็ก๊อปจาก จูเลีย โรเบิร์ต มาเป๊ะเลย นอกจากนี้ยังมีหนังอย่าง The Wedding Singer, When Harry Met Sally, The Fault in Our Stars และ 13 Going on 30 ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งอ้างอิงด้วย
บทบันทึกสำคัญอีกอย่างที่น่าสนใจคือ นี่เป็นหนังที่ เรเบล วิลสัน รับบทนำเองครั้งแรก ในหนังที่เธออำนวยการสร้างเองครั้งแรก ซึ่งยืนยันว่าเธอหลงรักบทหนังเรื่องนี้มากเพียงไหน และแน่นอนว่าเธอไม่พลาดที่จะดึงคู่ขวัญบทตัวรองที่มักได้คู่กับเธอในหนัง Pitch Perfect อย่าง อดัม ดีไวน์ มารับบทพระเอกด้วย นอกจากนี้เธอยังดึงทั้ง เลียม เฮมสเวิร์ธ น้องชายของเทพเจ้าธอร์ซึ่งเป็นคนออสเตรเลี่ยนเหมือนเธอมารับบทพระรองสุดหล่อ และได้ ปริยังกา โจปรา สุดยอดดาราสาวบอลลีวู้ดมาเล่นหนังอเมริกันครั้งแรกด้วย เรียกว่าเป็นทีมหนังที่น่าสนใจมากเรื่องหนึ่งเลย แม้แนวหนังจะไม่ได้ต้องใช้ฝีมือการแสดงมากมายก็ตาม
ด้วยความยาว 89 นาที นับว่ากำลังพอดีมาก ๆ ดูเพลินแป๊บเดียวก็จบแล้ว แน่นอนว่าหนังประเคนใส่เราทั้งมุกและความน่ารักอุอิ โดยล้อเลียนความเลี่ยนหนังรักทั้งหลายอย่างลงตัวไม่รู้สึกล้นหรือขาดแต่อย่างใดเป็นหนังที่ดูสนุกเรื่องหนึ่ง แต่ส่วนที่ประทับใจมาก ๆ นั้นกลับเป็นการสร้างพัฒนาการตัวละครที่เจ๋งดีเรื่องหนึ่งเลย
นาตาลี ตอนเด็กกำลังตาส่องประกายกับหนังรักอย่างผู้หญิงบานฉ่ำ แล้วแม่ก็เข้ามาพูดจาถากถางให้เห็นโลกความจริง นาตาลีทำหน้าตาไม่พอใจเหมือนเธอต้องการจะมีความรักสุขสมหวังลบคำสบประมาทของแม่ให้ได้ แล้วภาพก็ตัดไปตอนที่นาตาลีโต ตอนนี้เธอกลับกลายเป็นสาวอวบลูซเซอร์ที่ไม่มีใครมองเห็นตัวตนในที่ทำงาน และเกลียดเรื่องรักหวานเลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแทน แค่นี้เราก็รู้แล้วว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมาเธอจะเจออะไรที่ทำลายความฝันลงไปบ้างจนกลายเป็นคนไม่เชื่อในรักไปแทน และนั่นก็ทำให้เธอทั้งสร้างเฟรนด์โซนให้กับทุกคนที่เข้ามา และไม่ยอมข้ามเฟรนด์โซนของใครเลยเช่นกัน ซึ่งด้วยความที่ตัวละครนำนั้นเป็นคนธรรมดาทำให้ภาพความเป็นเฟรนด์โซนยิ่งชัดน่าเชื่อจนต้องลุ่นไปกับพวกเขาเลย
อีกฉากที่ดีคือไคลแม็กส์ของหนังที่นาตาลีต้องล่มพิธีแต่งงานและแย่งความรักของเธอคืนมา เดิมทีบทหนังเขียนให้เธอต้องผิดหวังด้วยคำปฏิเสธแต่หลังจากรอบทดสอบฉากนี้ที่ไม่ค่อยดีนัก จึงมีการเปลี่ยนบท และนี่คือการเปลี่ยนที่ส่งผลดีกับหนังขึ้นมาทันที แม้มันจะไม่ได้แปลกใหม่แต่มันพอดีกับตัวเรื่อง ซึ่งนำมาสู่บทสรุปสุดท้าย และมุกเฉลยสุดท้ายนี่ก็ทำอมยิ้มจริง ๆ ขนาดว่าเดาได้อยู่แล้วนะ ข้อเสียของหนังก็คงเป็นเรื่องของการล้อเลียนที่ผิวเผินเพราะความเป็นหนังตลกต้องดูง่าย และเมื่อตามสูตรหนังรักมากมันก็เต็มไปด้วยเรื่องที่เราได้อยู่แล้ว แต่หนังก็หาทางรอดจากเรื่องนี้ด้วยเสน่ห์ของตัวละคร กับมุกพิชิตใจที่น่ารักน่าชังนั่นเอง