หมวดหมู่ : หนังอาชญากรรม , หนังดราม่า , หนัง Netflix , หนังชีวประวัติ
เรื่องย่อ : A Twelve-Year Night 12 ปี ฝันร้ายไม่ลืม (2018) [ บรรยายไทย ]
ชื่อภาพยนตร์ : A Twelve-Year Night 12 ปี ฝันร้ายไม่ลืม
แนว/ประเภท : Biography, Crima, Drama
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Álvaro Brechner
บทภาพยนตร์ : Álvaro Brechner, Mauricio Rosencoff
นักแสดง : Antonio de la Torre, Chino Darín, Alfonso Tort
วันที่ออกฉาย : 20 September 2018
2516 อุรุกวัยอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหาร คืนหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงนักโทษ Tupamaro สามคนถูกนำตัวออกจากห้องขังในปฏิบัติการลับทางการทหาร คำสั่งนั้นแม่นยำ: "เมื่อเราไม่สามารถฆ่าพวกมันได้ ชายทั้งสามจะยังคงอยู่ในห้องขังเดี่ยวเป็นเวลาสิบสองปี ในบรรดาพวกเขาคือ Pepe Mujica - ต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีของอุรุกวัย
IMDB : tt6792282
คะแนน : 7.7
รับชม : 706 ครั้ง
เล่น : 91 ครั้ง
สำหรับบางคน การถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวเพียงหนึ่งวัน อาจจะทนไม่ไหวแทบขาดใจตาย แต่สำหรับคนสามคนการถูกขังอย่างยาวนานกว่าสิบสองปีไม่อาจจะทำอะไรพวกเขาได้ ในทางกลับกันระยะเวลากลับทำให้พวกเขายิ่งมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และอุดมการณ์ของเขาก็ยังคงไม่ตายจากไป แล้วอะไรล่ะที่เป็นแรงขับดันที่ทำให้พวกเขามีกำลังใจจะสู้ต่อไปจนถึงวันแห่งอิสรภาพ
ภาพยนตร์สัญชาติอุรุกวัยเรื่องนี้เป็นผลงานของ อัลวาโร่ เบรชเนร์ ผู้กำกับสัญชาติเดียวกัน นำแสดงโดย อันโตนิโอเดอลาตอเร่ , ชิโน่ ดาร์ริน และ อัลฟองโซ่ ตอร์ต หนังเรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างจากงานหนังสือที่ชื่อว่า El regreso del Gran Tuleque (1987) ของเมาริซิโอ้ โรเซนคอฟ หนึ่งในสามนักโทษตัวเอกของเรื่องผู้ถูกจองจำมาอย่างยาวนานโดยรัฐบาลเผด็จการทหาร หนังได้เป็นตัวแทนของอุรุกวัยในการเสนอชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม แต่ไม่ได้เข้ารอบสุดท้ายไปอย่างน่าเสียดาย
ถ้าฮอลลีวู้ดจะมีชอว์แชงค์ หรือ กรีนไมล์ที่เป็นหนังเกี่ยวกับการถูกจำคุกที่ยอดเยี่ยมแล้ว หนังเรื่องนี้เองก็ต้องถือว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้กันแม้อาจจะไม่เข้าขั้นระดับตำนานอย่างสองเรื่องนั้น แต่เรื่องนี้ก็ชดเชยด้วยความดูเรียลและสมจริงเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพในคุกที่ดูทารุณมากๆ และสภาพของสามตัวเอกที่ถูกขังก็ดูว่ามีสภาพร่างกายและจิตใจที่ดูทรุดโทรมได้เนียนตาเอามากๆ รวมไปถึงสถานที่ถ่ายทำที่ให้เราได้เห็นธรรมชาติของอุรุกวัยที่ดูเขียวชอุ่มและงดงามมากๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบก็คือเรื่องของการเอาเพลงมาประกอบเข้ากับการดำเนินเรื่องที่ดูแมทช์กันบีบคั้นอารมณ์ของเรามากๆ เช่น การเอาเพลง The Sound of Silence มาสื่อแทนความรู้สึกของตัวละครทั้งสามในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี มีฉากหนึ่งที่ผมเห็นว่าเด็ดดวงและแสบสันต์มากก็คือ ฉากที่ญาโตจะขอนั่งยองอึ แต่ด้วยกุญแจมือทำให้เขานั่งยองไม่ได้จนต้องขอทหารให้ช่วยคลายกุญแจมือ แต่พลทหารคนนั้นตัดสินใจไม่ได้ก็ไปตามหมู่ หมู่ก็ตัดสินใจไม่ได้จึงไปตามจ่าจ่าตามหมวด หมวดตามผู้กอง ผู้กองตามผู้พัน ผู้พันมาถึงบอก ตามกูมาแค่เนี้ยนี่นะ สรุปไม่มีใครตัดสินใจสักคน 555 สะท้อนให้เห็นถึงสายการบังคับบัญชาของทหารได้ชัดเจน และแทงใจดำมาก
สำหรับการแสดงของทั้งสามคน สั้นๆครับ ยอดเยี่ยมมาก เดอลาตอเร่ เล่นเป็นเปเป้ ชายที่สติใกล้แตกเต็มทีที่พบกับอาการจิตหลอนเพราะการถูกกดดันและทรมาน แต่ท้ายที่สุดเขาก็เรียกสติและพยายามเอาชนะให้ได้ในที่สุด ดาร์ริน ในบทของรูโซ่ ชายผู้สุขุมและใช้ความฉลาดในการเอาตัวรอดโดยใช้ความสามารถในการเป็นนักเขียนเพื่อแลกกับความสบายเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว และ ตอร์ต ในบทของ ญาโต ชายหนุ่มที่แลดูเหมือนจะไม่มีความกล้าแต่แท้ที่จริงความกล้าของเขาคือการยอมรับความจริงและไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
นานแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังที่เกี่ยวกับการถูกจองจำดีๆ อย่างนี้ ใครที่ชอบหนังสไตล์คุก หรือแนวประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง หนังสะท้อนให้เราเห็นถึงคุณค่าของอิสรภาพที่เราควรจะหวงแหนมันให้มากๆ สิ่งหนึ่งที่ขับเคลื่อนให้มนุษย์เรานั้นยังมีชีวิตอยู่ ก็คือความหวัง หวังว่าจะได้กลับไปเจอคนรัก หวังว่าประเทศของเราจะไปสู่หนทางที่ดี รวมถึงการกักขัง ก็ขังได้แค่ตัวเท่านั้น แต่จิตวิญญานของเราไม่ได้ถูกจองจำไปด้วย ให้คะแนน 9 เต็ม 10 ครับ ตัดนิดเดียวตรงที่น่าจะเติมที่มาที่ไปของตัวละครให้ครบทุกตัวว่าทำไมเขาถึงมาพบชะตากรรมเช่นนี้ ขอเสริมอีกนิดครับ สำหรับโฮเซ่ "เปเป้" มูฆิก้านั้น ในท้ายที่สุดปี 2010 เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 40 ของอุรุกวัย และเขาเองก็เป็นประธานาธิบดีที่ได้ชื่อว่าโคตรสมถะคนนึงในโลกนี้เลย