หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น , หนังผจญภัย , หนังไทย , หนังแฟนตาซี
เรื่องย่อ : ครุฑ มหายุทธ หิมพานต์ Krut: The Himmapan Warriors (2018)
ชื่อภาพยนตร์ : ครุฑ มหายุทธ หิมพานต์ Krut: The Himmapan Warriors
แนว/ประเภท : Adventure, Fantasy, Action
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Chaiporn Panichrutiwong
บทภาพยนตร์ : Wisit Sasanatieng
นักแสดง : Rong Kaomoonkadee, Nadech Kugimiya
วันที่ออกฉาย : 19 July 2018
ในอดีตอันไกลโพ้นนานเกินกว่าจินตนาการจะเดินทางไปถึง ในสมัยที่โลกยังมิได้เป็นเช่นที่เห็นทุกวันนี้ และมนุษย์ก็ยังมิได้เป็นผู้ครอบครองพิภพทั้งหมด หากเป็นเพียงเผ่าพันธุ์เล็ก ๆ ที่เพิ่งเกิดใหม่ในหมู่สิ่งมีชีวิต อาทิ คชสีห์ นรสิงห์ ครุฑ นาค รากษส กินนรี กินนร ที่ผลัดเปลี่ยนกันทำสงครามเพื่อแย่งชิงและยึดครองอาณาจักรของกันและกัน สมัยนั้น ศูนย์กลางของโลกคือเขาพระสุเมรุแวดล้อมด้วยมหานทีสีทันดรอันกว้างใหญ่ไพศาล กินอาณาเขตไปจนเกือบจะถึงสุดขอบโลก ไกลโพ้นออกไปจากนั้นคือ ป่าหิมพานต์อันเป็นที่อยู่ของบรรดาสิงสาราสัตว์แสนพิสดารทั้งหลาย “รากษส” เผ่าพันธุ์เร่ร่อนมีนิสัย ดุร้ายป่าเถื่อน ที่รวบรวมไพร่พลบุกตะลุยตีอาณาจักรเล็กอาณาจักรน้อยจนพ่ายแพ้ราบคาบ จนมาถึงชายแดนเมืองอโยธยาที่ปกครองโดยเหล่าครุฑ จนในที่สุดทัพหน้าของพวกรากษสก็ยาตรามาถึงและทำการถล่มประตูเมืองอโยธยาอย่างหนัก
“พญาวัชระครุฑ” ทหารเอกแห่งอโยธยา และเหล่าทหารครุฑเห็นทีว่าจะป้องกันเมืองไม่อยู่ จึงตีฝ่าวงล้อมบินข้าม มหานทีสีทันดร ไปรวบรวมความช่วยเหลือจากสัตว์น้อยใหญ่ในป่าหิมพานต์ รวมถึง “กินนร” ผู้เคยเป็นปรปักษ์กันมาก่อน มหาสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์เริ่มขึ้นแล้ว กองกำลังผสมของเหล่าสัตว์หิมพานต์ จะไปช่วยพวกครุฑชิงเมืองอโยธยากลับคืนมาจากพวกรากษสได้หรือไม่?
IMDB : tt8635054
คะแนน : 6.3
รับชม : 37443 ครั้ง
เล่น : 14609 ครั้ง
หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องนึงที่ผมรู้สึกว่ารีวิวยากมากๆเลยล่ะครับ เพราะมีจุดที่ทั้งชอบมากๆ และไม่ชอบปะปนอยู่ในเรื่องเดียวกัน และที่ทำให้พูดได้ยากเพราะมันคือส่วนประกอบเดียวกัน แต่เป็นคนละช่วง ดังนั้นผมจะรีวิวแบบตรงไปตรงมา โดยไม่สปอยล์เนื้อหานะครับ
บทหนังเรื่องนี้มีหลายจุดที่มีชั้นเชิงในการนำเสนอมาก มีบทพูดหลายประโยคที่เราคิดว่าแสบใช่เล่น เสียดสีสังคม ประวัติศาสตร์ และผสมผสานเข้ากับวรรณกรรมที่คนไทยรู้จักได้เป็นอย่างดี คือมันเป็นจุดที่ทำให้เรารู้สึกว่าเกินความคาดหมายมากๆ
จากตอนแรกที่เห็นหน้าปกเป็นครุฑแล้วยังรู้สึกว่า เอาวรรณกรรมมาเล่าแบบเดิมๆอีกแล้ว อโยธยาอีกแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าเรื่องนี้มีหลายจุดที่มาผสมผสานและตีความบางอย่างได้น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ก็บทอีกนั่นแหละที่มีจุดอ่อนอย่างร้ายกาจเช่นกัน แม้ผมจะชอบบางช่วงบางตอน แบบที่บอกไปแล้ว แต่ก็มีพลอตบางอย่างที่กลับเดินเรื่องง่ายเกินไป จนทำให้ตัวละครหลายตัวขาดความน่าเชื่อถือ และไม่ทำให้คนดูอินได้
ในส่วนของ CG ก็นับเป็นอนิเมชั่นไทยอีกเรื่องที่ CG สวยงามมาก ฉากแอคชั่นในบางช่วงทำได้สวยจริงๆ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ CG อีกนั่นแหละที่ทำบางฉากได้ลอยไปนิด (เข้าใจว่าบางฉากมันยากจริง) และบางฉากแอคชั่นก็สู้กันเร็วเกินไป ดูแล้วตาลายมากๆ เก็บรายละเอียดความสวยงามไม่ทัน เลยเป็นหนังที่เราจะชม CG ก็ชมได้ไม่สุด จะติก็ติได้ไม่สุดเหมือนกัน
อารมณ์รวมๆเลยเหมือนทำงานกลุ่มที่ไม่ได้นัดกันมา คือบางช่วงที่ตัวท็อปของกลุ่มทำ ก็ทำออกมาได้ดีมากทั้งช่วง ถ้าช่วงไหนที่เป็นคนอื่นทำงานก็จะดรอปลงมาหน่อย
ส่วนที่ทำออกมาได้ดีสม่ำเสมอตลอดทั้งเรื่อง คือ เสียงพากย์ …เอาจริงๆตอนแรกเรายังคิดว่าทำไมเอาณเดชน์มาขาย และเราไม่เคยรู้ว่าณเดชน์พากย์หนังมาก่อน แต่เรื่องนี้ณเดชน์ทำได้ดีจริงๆ ฟังแล้วยังไม่รู้สึกว่าเป็นเสียงณเดชน์เลย นอกจากนี้อีกตัวละครที่ให้เสียงบรรยายมาตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบนั้นเราชื่นชมตลอด เพราะทำได้ดีเช่นกัน …ดีจนผมอยู่รอดู Credit เลยว่าเป็นเสียงของใคร เพราะต้องเป็นดาราอาวุโสแน่นอน แต่ผมจะไม่เฉลยตรงนี้แล้วกันนะครับ อยากไปดู ไปฟังกันเอาเอง
และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยคือไอเดีย หนังเรื่องนี้แม้จะดูอิงวรรณกรรมเก่าๆ แต่มีความแฟนตาซีร่วมสมัยอยู่ไม่น้อย ไอเดียหลายอย่างทำออกมาเซอไพร์สผมมากๆ รวมถึงการกล้าที่จะทำลายกรอบของอนิเมชั่นไทยแบบเดิมๆหลายอย่างด้วยครับ