หมวดหมู่ : หนังดราม่า , หนังโรแมนติก
เรื่องย่อ : Midnight Sun หลบตะวัน ฉันรักเธอ (2018) [พากย์ไทย บรรยายไทย]
ชื่อภาพยนตร์ : Midnight Sun หลบตะวัน ฉันรักเธอ
แนว/ประเภท : Romance, Drama
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Scott Speer
บทภาพยนตร์ : Kenji Bando, Eric Kirsten
นักแสดง : Bella Thorne, Patrick Schwarzenegger, Rob Riggle
วันที่ออกฉาย : 23 March 2018
เคที ไพรซ์ (เบลลา โทรน) อายุ 17 ปี เด็กสาวผู้เกิดมาพร้อมกับความผิดปกติ เธอไม่สามารถที่จะสู้กับแสงอาทิตย์ได้ ยามค่ำคืนจึงเป็นเวลาเดียวที่เธอจะสามารถออกจากบ้านได้ ดังนั้นเธอจึงต้องนอนหลับในช่วงเวลากลางวัน ก่อนจะตื่นในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเวลาที่เธอจะออกไปเล่นกีตาร์ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เมื่อเธอได้พบกับ ชาร์ลี (แพททริค ชวาร์ซเนคเกอร์) เธอไม่ได้บอกถึงข้อจำกัดของตัวเองในตอนแรก เพราะเธอกลัวว่าจะทำให้เขาจากไป แต่สุดท้ายเมื่อพวกเขาทั้งคู่ไปออกเดทกันในคืนหนึ่ง ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งเธอรีบวิ่งกลับบ้านให้ทันเท่าที่จะทำได้ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ชาร์ลีเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่เคทียังคงกลัวที่จะบอกเขาถึงความลับของเธอ
IMDB : tt4799066
คะแนน : 6.6
รับชม : 5816 ครั้ง
เล่น : 2186 ครั้ง
ถ้าพูดถึงตัวอย่างหนังนั้นหลายคนอาจดูแล้วพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหนังเรื่องนี้คงดำเนินตามสูตรหนังรักวัยรุ่นทั่วไป โดยมีสูตรสำเร็จของหนังวัยรุ่นเดิมๆอย่างเห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความรักของสองคน ครอบครัว รวมไปถึงเหตการณ์ต่างๆที่น่าจะพอเดาได้จากแต่ละฉาก แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกชอบมากที่สุดคือ หนังเรื่องนี้ใช้ความ “ธรรมดา” และความ “ธรรมชาติ” มาถ่ายทอดให้เราได้ดูกัน หนังจะไม่ค่อยยืดเยื้อสักเท่าไหร่ แต่ละฉาก สามารถเข้าถึงได้ง่ายมาก และที่สำคัญหนังเรื่องนี้มีเพลงเพราะๆให้ได้ฟังกันอีกด้วยนะ
แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้อาจเป็นหนังรักทั่วไปที่หลายๆคนเคยๆดูมาไม่ว่าจะกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง หากแต่ว่าหนังใส่เรื่องราวของตัวละครฝ่ายนำหญิงเข้าไปคือ เคที่ ที่ต้องเป็นผู้หญิงที่มีความผิดปกติโดยเธอป่วยเป็นโรคที่เธอนั้นไม่สามารถถูกหรือโดนแสงอาทิตย์ได้ ดังนั้นเธอจึงอยู่แต่ในบ้านในตอนกลางวัน และตื่นตอนกลางคืน จึ่งทำให้เธอไม่สามารถมีชีวิตแบบคนปกติได้ ถึงตรงนี้หลายคนอาจคิดขึ้นมาในใจว่า นี่มันก็เป็นอีกสูตรหนึ่งของหนังที่หลายๆคนก็อาจจะเห็นมาหลายต่อหลายเรื่องอีกแหละ เช่น Penelope, Beastly หรือแม้กระทั่ง The Fault in Our Stars ซึ่งถ้าจะพูดแบบนี้มันก็ถูกต้อง
แต่หนังเรื่องนี้ค่อนข้างต่างจากหนังเหล่านั้นเล็กน้อย ตรงที่ในหนังนั้นทุกอย่างค่อนข้างจะดูเป็นธรรมชาติ เหมือนกับว่ามันเกิดขึ้นได้กับเราๆ คือรู้สึกเหมือนว่ามันเหมือนเอาชีวิตคนมาให้ดูก็ว่าได้ ไม่มีโอเวอร์ ไม่มีอำอาจวิเศาใดๆ มีแค่ความรู้สึกของพระนางที่เล่นได้เข้ากีนดี และมันคือความรู้สึกอินกับหนังล้วนๆ และที่เห็นเด่นชัดเลย หนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรที่เน้นเรื่องความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะพูดตามภาษาของเราๆก็อาจพูดได้ว่าตลอดทั้งเรื่องนั้นเหมือนหนังโลกสวยที่อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์
มันสัมผัสได้ถึงความรักของหลายๆฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเคทีกับพ่อของเธอเองที่ เหมือนกับว่าเธอโชคดีมากที่มีพ่อที่แสนดีและเข้าใจเธอมาตลอด โดยในเรื่องก็มีฉากฮาๆเรียกเสียงหัวเราะได้อยู่หลายฉากเหมือนกัน เลยทำให้หนังไม่หวานจนเกินไป พ่อของเธอคือคนที่คอยเอาใจใส่เธอทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นครูให้ จะคอยเอาของขวัญมาให้ตอนเรียนจบ หรือแม้กระทั่งคอยดูแลเธอตลอดจนตัวเองที่ (น่าจะเป็นช่างภาพ) ต้องทิ้งทุกอย่างมาดูแลเธอ ซึ่งตรงนี้ก็ชอบมากๆเลย
และอีกฝ่ายคือเคที่กับชาร์ลี แน่นอนว่ากว่าเธอจะได้เจอและสมหวังกับชาร์ลีนั้นก็มาจากการที่เธอได้เจอกันที่สถานีรถไปตอนที่เธอไปยืนดีดกีตาร์ร้องเพลงนั่นเอง เธอได้พบและได้พูดคุยกับ ชาร์ลี ชายหนุ่มที่เธอมองจากหน้าต่างบ้านทุกวันตั้งแต่อายุ 11 ขวบ เป็นครั้งแรก ฮ่าๆๆ มีหลายฉากเหมือนกันที่เรียกเสียงหัวเราะออกมาได้จากการกระทำของเธอ
เคที่และชาร์ลีเดทกัน โดยที่เธอเองไม่ได้บอกความลับให้กับชาร์ลีได้รู้เรื่องที่ว่าเธอป่วย จนกระทั้งวันนึงความลับก็แตกจนทำให้เคที่เองคิดว่าชาร์ลีจะเสียเวลาเปล่า ตรงนี้หนังก็ใช้เวลาไม่มากที่จะปรับความสัมพันธุ์ของสองตัวละคร เลยทำให้รู้สึกว่ามันกระชับดี แต่หนังมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย โดยส่วนตัวแล้วในส่วนของข้อเสียคือเราว่าหนังค่อนข้างมีบทที่เบาไปหน่อยในบางฉาก หรือการกระทำบางอย่างมันก็ยังดูขัดๆนิดๆ และสุดท้าย หนังก็ดำเนินมาถึงจุดจบ ซึ่งแน่นอนถ้าหากว่าใครดูเวอร์ชั่นต้นฉบับมาก็น่าจะรู้ว่าจะต้องจบยังไง
โดยรวมถือว่าชอบหนังเรื่องนี้นะ อาจไม่เพอร์เฟคมากมาย อาจไม่ได้ชอบมากมาย แต่ตอนดูมันทำให้ใจรู้สึกหวิวๆและยิ้มเวลาดูหนังออกมาได้ (ไม่ได้ยิ้มเพราะฉากขำๆนะแต่ยิ้มเพราะความน่ารัก ความโรแมนติกที่ตัวละครเอกทั้งสองตัวแสดงออกมาได้อย่างดีจนเราอิน) ก็มีความสุขที่ได้ดูและแน่นอนไปดูคนเดียวอย่างเราก็อินไปดิ อินไป ฉากใหนเศร้าก็เศร้าไป ด้วยความที่ไปดูคนเดียวมันก็จะอินหน่อยๆ ฮ่าๆๆ ชอบหลายๆอย่างเอามากๆ โดยเฉพาะเพลงในเรื่องที่แต่ละเพลงก็ค่อนข้างเพราะซะด้วยแฮะ หลายๆฉากดูๆแล้วรู้สึกคิดในใจ ทำไมพระเอกหล่อจังเลยวะ 555 คนอะไรหล่อมาก ก่อนดูก็ไม่ค่อยได้ดูชื่อนักแสดงเท่าไหร่นะ แต่พอดูจบลองอ่านชื่อคนที่มารับบทชาร์ลีดีๆ อ้าวเฮ้ยนี่มัน ลูกคนเหล็กนี่หว่า ลูกของอาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ ดีนะที่คนตั้งชื่อหนังไม่ตั้งชื่อหนังภาษาไทยตามพ่อ ไม่งั้นคงมีคำว่า คนเหล็กแน่เลย 55555