หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น , หนังดราม่า , หนังวิทยาศาสตร์ Sci-fi , หนัง Netflix , หนังระทึกขวัญ
เรื่องย่อ : Extinction ฝันร้าย ภัยสูญพันธุ์ (2018) [ บรรยายไทย ]
ชื่อภาพยนตร์ : Extinction ฝันร้าย ภัยสูญพันธุ์
แนว/ประเภท : Action, Sci-Fi, Drama
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Ben Young
บทภาพยนตร์ : Spenser Cohen, Brad Kane
นักแสดง : Michael Peña, Lizzy Caplan, Amelia Crouch
วันที่ออกฉาย : 27 July 2018
เมื่อครอบครัวแสนสุขของอลิซและปีเตอร์ต้องถูกฝันร้ายของปีเตอร์เล่นงานจนทำให้ชีวิตครอบครัวเริ่มไม่เป็นสุข ปีเตอร์มักจะฝันถึงการโดน'บางสิ่ง'ที่มาจากบนฟากฟ้าโจมตีพวกเขา ทำให้เกิดการพักผ่อนไม่เพียงพอและเกิดภาพหลอนต่างๆ แต่ทว่าในคืนหนึ่งก็กลับมี'บางสิ่ง'ที่ลงมาจากฟากฟ้ามาถล่มผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตในโลกจริงๆ ปีเตอร์และอลิซจึงต้องรีบพาลูกสาวทั้ง 2 คนหนีพวกมันให้พ้นเพื่อความปลอดภัยของทุกคนไม่ให้เป็นเหมือนในความฝันของเขา
IMDB : tt3201640
คะแนน : 5.8
รับชม : 1917 ครั้ง
เล่น : 534 ครั้ง
Extinction เป็นหนังแนวแอ็กชั่นไซไฟโลกแตกของ Netflix ที่ออกมาได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสได้ดูจนกระทั่งวันนี้
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูแวบแรก ก็เหมือนหนังโลกแตกทั่วๆ ไป ดูแล้วไม่มีอะไรโดดเด่นแตกต่างเท่าไร แต่ได้ยินหลายเสียงบอกมาว่าสนุกดี ก็โอเคลองดูสักตั้ง
ปรากฏว่า หนังไปไกลกว่าที่เราคาดไว้มาก นึกไม่ถึงว่าจะออกมาเป็นแบบนี้
Extinction เปิดด้วยประเด็นของความ routine หรือชีวิตที่วนเป็นลูปเดิมๆ ทำงาน…กลับบ้าน…ครอบครัว หนังพาเราไปรู้จักครอบครัวของตัวเอก อันประกอบไปด้วยปีเตอร์ (Michael Peña) วิศวกรหนุ่ม ผู้เป็นพ่อ, อลิซ (Lizzy Caplan) ผู้เป็นแม่, ฮันนาห์ (Amelia Crouch) และลูซี่ (Erica Tremblay) ลูกสาวทั้งสอง ชีวิตครอบครัวของพวกเขาดูเหมือนจะห่างเหินไปบ้าง แต่ก็ยังปกติดี จนกระทั่งปีเตอร์เริ่มฝันร้าย และเชื่อว่านี่เป็นลางบอกเหตุ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเขา หาว่าเขาบ้า จนกระทั่งเรื่องร้ายเกิดขึ้นจริงๆ คือจู่ๆ ก็มีผู้บุกรุกเข้ามาทำลายล้างเมืองและยิงกราดใส่ผู้คนแบบไม่มีพูดคุยพิธีรีตรองใดๆ ทั้งสิ้น ปีเตอร์และครอบครัวจึงต้องหาทางหลบหนีจากการทำลาย เอาชีวิตรอดให้ถึงที่สุด
อ่านแค่พล็อตเรื่องย่อแบบนี้แล้ว คงจะรู้สึกว่า นี่ก็เป็นหนังล้างโลกธรรมดาๆ นี่หว่า ใช่…ครึ่งแรกของหนังทำให้เรารู้สึกแบบนั้น เนื้อหาของหนังไม่ได้มีความแตกต่างโดดเด่นจากหนังผลาญโลกเรื่องอื่นๆ ช่วงแรกๆ ของหนังนั้นติดจะเอื่อยๆ หน่อย เพราะปูพื้นฐานด้านครอบครัวของตัวเอก กว่าผู้บุกรุกจะมาเยือน หนังก็ผ่านไปสักระยะหนึ่งแล้ว
ช่วงที่ตัวเอกเจอผู้บุกรุกนี่ละก็เริ่มสนุก เริ่มลุ้นให้ตัวละครหาทางรอดออกไปได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรโดดเด่นออกมาจากหนังโลกแตกเรื่องอื่นๆ เท่าไร
พอหนังผ่านมาถึงกลางเรื่อง เราก็เจอจุดหักมุมที่พลิกสถานการณ์ทุกอย่างทั้งหมด สิ่งที่เราเข้าใจมาตลอดนั้นผิดหมดทุกอย่าง นั่นรวมถึงสิ่งที่ตัวละครเข้าใจด้วย เป็นการหักมุมที่คาดไม่ถึงจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้หนังก็ไม่ได้ให้เบาะแสอะไรไว้ หนังมาเฉลยพร้อมๆ กับจุดหักมุมที่ว่านี่แหละ และนี่ก็กลายเป็นอาวุธเด็ดของหนังเรื่องนี้ไปโดยปริยาย นี่คือสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างไปจากหนังโลกแตกเรื่องอื่นๆ
จะเป็นอะไรนั้นเราไม่ขอเขียนตรงนี้ละกัน ไปติดตามกันเอง
ทางด้านตัวละครนั้น แน่นอนว่าเป็นปกติที่หนังประเภทนี้จะต้องมีตัวละครน่าลำไยที่สมควรตายๆ ไปซะ เพราะเป็นตัวถ่วงชิบ เรื่องนี้ก็ขอเตือนว่ามีเหมือนกัน มีหลายๆ จุดที่ตัวละครทำเรื่องไร้สาระระหว่างที่สถานการณ์รอบด้านกำลังระอุ คือผิดที่ผิดเวลาสุดๆ แล้วก็มีบางฉากที่ยืดเยื้ออีโมชั่นนัลเกินไป รู้ว่าอยากซึ้งแต่นี่มันไม่ใช่เวลาป้ะ รีบๆ หนีไปได้แล้วโว้ย
ฝั่งโปรดักชั่นงานภาพและเสียงนั้นก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ อาจจะไม่ได้เห็นฉากโลกพังทลายแบบติดตา แต่โดยรวมแล้วก็สร้างให้เห็นสถานการณ์ที่น่ากลัวได้ โดยเฉพาะกองทัพผู้บุกรุกที่มาทีนี่อย่างกับกองทัพแมลงยั้วเยี้ย เห็นแล้วขนลุก ถ้าไปอยู่ในสถานการณ์จริงคงถอดใจไปแล้ว โคตรน่ากลัว
ประเด็นนึงที่เราชอบของหนังคือความสำคัญของประวัติศาสตร์ หนังไม่ได้ชูประเด็นนี้จะๆ แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าการที่เรารู้ว่ารากเหง้าเราเป็นใคร มีอะไรเกิดขึ้นในอดีตบ้างนั้น ก็ถือเป็นเรื่องมีประโยชน์ เพราะมันทำให้เราได้เรียนรู้และพร้อมรับมือกับอะไรก็ตามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อันเป็นผลพวงมาจากการกระทำในอดีตนั้นๆ
สรุปแล้ว Extinction เป็นหนังความยาว 1.35 ชั่วโมงที่ดูสนุกและเพลินระดับหนึ่ง หนังค่อนข้างเดาทางง่าย แต่ก็ถือว่าดีกว่าหนังแนวภัยวิบัติหรือแอ็กชั่นไซไฟของ Netflix เรื่องอื่นๆ ที่มักจะเอื่อยเฉื่อยและจบแบบงงๆ ใครที่ยังไม่แน่ใจ ลองเปิดใจกับเรื่องนี้ดู รับรองว่าแม้หน้าหนังจะเหมือนหนังโลกแตกเรื่องอื่นๆ แต่ความจริงแล้วมันไม่เหมือนเรื่องอื่นๆ หรอก อาจจะมีฉากน่าเขวี้ยงรีโมตหรือตัวละครเล่นใหญ่ไปบ้าง แต่โดยรวมก็ดูเพื่อความสนุกละกัน 555