ดูหนังออนไลน์
ค้นหาหนัง

Brad's Status สเตตัสห่วย ของคนชื่อ แบรด (2017) [พากย์ไทย บรรยายไทย]

Brad's Status สเตตัสห่วย ของคนชื่อ แบรด (2017)
Youtube Video

หมวดหมู่ : หนังตลก , หนังดราม่า , หนังเกี่ยวกับดนตรี

เรื่องย่อ : Brad's Status สเตตัสห่วย ของคนชื่อ แบรด (2017) [พากย์ไทย บรรยายไทย]

ชื่อภาพยนตร์ : Brad's Status สเตตัสห่วย ของคนชื่อ แบรด
แนว/ประเภท : Comedy,  Music,  Drama
ผู้กำกับภาพยนตร์ : Mike White
บทภาพยนตร์ : Mike White
นักแสดง : Ben Stiller,  Austin Abrams,  Jenna Fischer
วันที่ออกฉาย : 15 September 2017
 
 
 
 
เรื่องราวความรักของคนเป็นพ่ออย่าง “แบรด สโลน” (เบน สติลเลอร์) ที่ได้พาลูกชายออกเดินทางค้นหามหาวิทยาลัยที่จะเรียนต่อหวังให้ลูกได้มีอนาคตที่ดี   ในระหว่างนั้นแบรดก็ได้พบเพื่อนเก่าหลายคนที่ปัจจุบันต่างก้าวหน้าในหน้าที่การงาน   ต่างจากเขาที่เป็นคนทำงานธรรมดา  ไม่มีสถานะอะไรเป็นพิเศษ  การพบเจอเพื่อนเก่าของเขาในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยเมื่อเทียบกับเพื่อนคนอื่นๆ   แบรดจึงตั้งใจว่าเขาจะไม่มีวันให้ลูกชายเดินตามรอยอันล้มเหลวของเขา และสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้คือการทำให้ “ทรอย” (ออสติน อับรามส์)  ผู้เป็นลูกชายได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอย่าง “ฮาร์วาด” ในขณะที่ทรอยผู้เป็นลูกก็จะทำให้พ่อของเขารู้ว่า ชีวิตมีอะไรที่มากกว่าเงินทอง อำนาจ หรือสถานะทางสังคม
 
รีวิว] Brad's Status: หนังฟีลกู้ดยิ้มๆ ดีๆ สำหรับรุ่นใหญ่ ในราคา ...

IMDB : tt5884230

คะแนน : 6.5

รับชม : 357 ครั้ง

เล่น : 45 ครั้ง



 

BRAD'S STATUS สเตตัสห่วย ของคนชื่อ แบรด

หนังฟีลกู้ดแนวก้าวพ้นวัยที่มารอบนี้ เน้นหนักไปที่ ผู้ชายวัยกลางคนที่มารู้ตัวว่าอาจเดินเส้นชีวิตพลาดตอนวัยรุ่น ก็เพราะเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่น ๆ ต่างได้ดิบได้ดีกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนนักการเมืองชื่อดัง ตกถังข้าวสารกลายเป็นมหาเศรษฐี เป็นนักธุรกิจพันล้านที่ไม่ต้องทำงานอีกตลอดชีวิต ส่วนตัว แบรด สโลน พระเอกของเรากลับเป็นเพียงเจ้าขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่มีครอบครัวแบบชนชั้นกลางธรรมดา ๆ มีแค่บัตรซิลเวอร์ของสายการบินที่ไม่มีสิทธิพิเศษอะไรให้เลย  มีภรรยาเป็นข้าราชการกับลูกชายที่กำลังเข้ามหาวิทยาลัย และปัญหากวนใจที่ว่าไม่ได้รับเชิญไปงานแต่งของกลุ่มเพื่อนสนิท เพราะถูกลืมหรือเพราะเขาธรรมดาเกินไป?

 

ทั้งหมดทั้งมวลนำมาสู่บทสรุปของแบรดว่า ชีวิตเขาล้มเหลวและห่วยแตก ตอนอายุ 47 ปีนี่เอง แต่ทั้งหมดกำลังถูกท้าทายความเชื่อ เมื่อเขาต้องพา ทรอย ลูกชายเดินทางไปดูที่เรียนและสัมภาษณ์เข้ามหาวิทยาลัย โดยไม่รู้มาก่อนว่าหนึ่งในนั้นคือที่ ๆ เขาได้แต่ฝันว่าจะเข้าเรียนอย่าง ฮาวาร์ด

 

สำหรับเรื่อง Brad’s Status มีชื่อไทยเก๋ ๆ ว่า สเตตัสห่วยของคนชื่อแบรด เป็นผลงานของ ไมก์ ไวท์ ผู้กำกับที่ดังมาจากการเขียนบทให้ผู้กำกับขวัญใจชาวดราม่าอินดี้ฟีลกู้ดอย่าง ริชาร์ด ลิงก์เลเตอร์ ทำ The School of Rock (2003) มาแล้ว เรื่องนี้ไมก์ ไวท์ยังคงถ่ายทอดเรื่องราวของชายวัยกลางได้อย่างอยู่มือ ด้วยอายุอานามที่ใกล้เคียงกับตัวละครด้วยแล้ว เรียกว่าเราเข้าใจหัวอก แบรด ได้ เพราะหนังเล่ารายละเอียดชีวิตและการบรรยายความคิดจิตใจราวกับแบรดมีตัวตนอยู่จริง ๆ ทีเดียว

 

ซึ่งก็พอเหมาะพอเจาะกับตัว เบน สติลเลอร์ ที่วัยใกล้ตัวละครจริง ทำให้หนังมีมุมที่ดูทั้งตลกร้ายและขำขื่น รวมถึงดูมีประกายหวังด้วย อันนี้ต้องยกให้พี่เบนแกจริง ๆ ถนัดมากกับหนังแนวนี้ตั้งแต่ The Secret Life of Walter Mitty (2013) แล้ว แม้เรื่องนี้จะไม่มีความมหัศจรรย์พรรค์ลึกแบบ วอลเตอร์ มิตตี้ แต่ก็เป็นความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาอยู่ดี

หนังสนุกกับการใส่เหตุการณ์ที่ทำให้เราเห็นคล้อยกับ แบรด อยู่เหมือนกันว่า เงินและชื่อเสียง คือสิ่งสำคัญ ตั้งแต่ช่องพิเศษไม่ต้องต่อแถวสำหรับบัตรแพลตตินัม ชื่อไม่ดังจองโต๊ะก็ได้ที่ข้างห้องน้ำ ความภูมิใจในตัวเองที่ลดลงเรื่อย ๆ ว่างานการกุศลเพื่อโลกมันดีจริงหรือเปล่า ขนาดรุ่นน้องยังมาขอลาออกไปเป็นพนักงานธนาคารด้วยเหตุผลว่า “มันน่าจะช่วยโลกได้มากกว่าถ้าผมหาเงินได้เยอะ ๆ แล้วเอามาบริจาค ดีกว่าไปเทียวขอจากชาวบ้านแสนยากเย็น” ประกอบกับความเป็นคนคิดเยอะมโนมากของ แบรด ยิ่งทำให้ความรู้สึกดิ่งเหวหาทางรู้สึกดีกับชีวิตไม่เจอเลยทีเดียว ตรงนี้หนังทำให้เราอินและร่วมเดินทางทางการเติบโตของจิตใจ กับผู้ชายวัยดึกได้อย่างดีเยี่ยมเลย

 

แต่ในการสรุปความการเรียนรู้ของ แบรด นั้น หนังกลับเลือกใช้ท่าทีที่แปลกไปจากความคิดแบรดอธิบายทุกอย่าง มาเป็นต้องตีความการกระทำที่ไม่ชัดเจนของแบรดเองว่าเขาเรียนรู้อะไรแน่ ซึ่งมันก็เจ๋งและลุ่มลึกนะ แต่เชื่อว่ายากไปสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในวัยแบบแบรดจะอินด้วย

 

แต่กระนั้นหนังก็ยังสนุก และทิ้งตะกอนความคิดต่อตนเองได้อย่างสวยงามเลย โดยเฉพาะที่เมื่อลูกชายบอกเขาว่า “ระหว่างการเดินชมมหาวิทยาลัย ผมกลัวสายตาคนอื่นจะมองผมยังไง แต่เอาจริง ๆ ทุกคนก็มัวแต่สนใจตัวเองกันทั้งนั้น มีผมคนเดียวที่สนใจว่าพ่อจะเป็นยังไง ดังนั้นพ่อไม่ต้องไปสนใจเปรียบเทียบกับคนอื่นนักหรอก”