หมวดหมู่ : หนังดราม่า , หนังแฟนตาซี , หนังโรแมนติก
เรื่องย่อ : A Ghost Story ผียังห่วง (2017) [บรรยายไทย]
IMDB : tt6265828
คะแนน : 6.8
รับชม : 998 ครั้ง
เล่น : 193 ครั้ง
หลังจากได้ดู A Ghost Story (2017) ของผู้กำกับเดวิด ลอเวรี่ ผมรู้สึกเหมือนหนังเรื่องนี้คอยตามหลอกหลอนอยู่หลายนาทีแม้จะหันไปทำอย่างอื่นแล้วก็ตาม มันไม่ได้หลอนแบบหนังผีทั่วไป แต่มันหลอนด้วยอารมณ์ที่โศกเศร้า… ว่างเปล่า… แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีความงดงามแบบแปลกๆที่ทรงคุณค่าพอจะจดจำ
แต่แล้วหลังจากที่ผมได้ตระเวนดูความเห็นของคนดูต่างประเทศหลายคน ไม่ว่าจะเป็น IMDB หรือ YouTube หรือ Metacritic ผมก็รู้สึกช็อกไปเล็กน้อย… ดูเหมือนคนจำนวนไม่น้อยเกลียดหนังเรื่องนี้!
แต่พออ่านความเห็นดูดีๆก็เข้าใจได้
ผมพอเข้าใจว่าทำไมคนดูหลายถึงได้เกลียดหนังเรื่องนี้
อันดับแรกคือ หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องได้อย่างเนิบนาบและช้ามากกกกกก มีหลายซีนถูกปล่อยทิ้งค้างเอาไว้อย่างไม่มีความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉากที่เอ็มนั่งกินพายอยู่คนเดียวเงียบๆเกือบสิบนาที!
อันดับสองคือ คนดูรู้สึกว่ามันไร้ความหมายและว่างเปล่า หนังทั้งเรื่องเกี่ยวกับผีในผ้าคลุมสีขาวที่มีลูกตาโบ๋สีดำ มันมีฉากหลอกหลอนบางฉาก แต่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ซ้ำร้ายตอนจบยังทิ้งค้างให้คนดูตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีบทเรียนสำคัญอะไรให้กับคนดูเป็นพิเศษ
ตัวผมเองก็มีปัญหาในช่วงแรกๆของหนังเหมือนกัน มีหลายซีนที่ถ่ายทำออกมาได้อย่างสวยงาม แต่ก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกน่าเบื่อไม่น้อยเหมือนกัน
เพียงแต่ว่า พอหลังผ่านไปสักระยะหนึ่ง ผมเริ่มชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเมื่อหนังจบลง ผมก็จมอยู่ในความเงียบงันที่ว่างเปล่า
ใช่ ความว่างเปล่าที่เป็นด้านลบสำหรับคนดูทั่วไป คือประเด็นสำคัญของหนังเรื่องนี้อย่างชัดเจน
ในความเห็นของผม มันเป็นเรื่องของผีที่ฉลาดมาก
เมื่อพูดถึงผีในผ้าห่ม เราจะรู้สึกว่ามันงี่เง่า ไม่น่าจะเข้าท่าได้เลย โดยเฉพาะการเอามาสร้างเป็นหนังดราม่า-เหนือธรรมชาติแบบนี้
เมื่อพูดถึงคนตายที่ย้อนกลับมาหาคนรัก เราได้เห็นเรื่องทำนองนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง อย่างที่ดังๆก็ Ghost ที่แพทริก สเวย์ซีย์กับเดมี่ มัวร์เล่น (คนรุ่นใหม่จะรู้จักกันหรือเปล่านะ?)
เพียงแต่เรื่องนี้มันเล่ามุมมองของคนตายได้อย่างจี๊ดถึงใจเอามากๆ หนังเรื่องนี้ถ่ายทำโดยเลือกจะใช้อัตราภาพ 1:33:1 ซึ่งจะเห็นเป็นกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆอยู่ตรงกลางจอ เป้าหมายของผู้กำกับคือ การสื่อถึงมุมมองของผีที่ติดอยู่ในกรอบของความโศกเศร้า ความอาลัยอาวรณ์ ติดอยู่กับเวลาที่ไม่สามารถจะเคลื่อนผ่านไปไหนได้
เคซี่ แอฟเฟล็คแสดงหนังเรื่องนี้โดยส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ผ้าคลุม ถึงจะไม่เห็นสีหน้าตรงๆ แต่ผมกลับเข้าใจได้ว่าผีตัวนี้รู้สึกอย่างไร
ความสูญเสียเป็นอารมณ์พื้่นฐานของมนุษย์ เมื่อใครสักคนหายไปจากชีวิต (จะเสียชีวิตหรือเลิกรากันก็ตาม) พอเรากลับมายังสถานที่ที่คนๆนั้นเคยอยู่ เราจะรู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งเราจะนั่งนิ่งๆอยู่อย่างนั้น ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปในความเงียบ พยายามปรับตัวกับวิถีชีวิตที่คนๆหนึ่งได้หายไป
นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ฉากกินพายอันยืดยาวน่าเบื่อสำหรับใครหลายคน อาจจะโดนใจคนที่เคยสูญเสียเป็นหลัก
แต่นั่นคือมุมของคนที่ยังมีชีวิต แล้วในมุมของคนตายล่ะ?
ถึงแม้หนังเรื่องนี้จะเล่าในมุมของผีที่อยู่ในผ้าคลุม แต่ผมกลับสัมผัสถึงความต้องการที่จะอยู่กับคนรัก ต้องการที่จะสื่อสาร และต้องติดอยู่ในกรอบของเวลาที่มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่ไม่อาจทำอะไรได้ ในขณะที่โลกรอบตัวเริ่มผันแปรไปเรื่อยๆ ได้แต่เฝ้ามองคนรักของตัวเองขยับไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ได้เห็นคนรักเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ได้เห็นคนรักย้ายบ้านเพื่อเริ่มต้นใหม่ ได้เห็นครอบครัวใหม่ที่ย้ายเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า
การเล่าเรื่องในช่วงนี้ถือว่าเจ๋งมาก เพราะพอผีซีขยับซ้ายทีขวาที เราก็จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของคนในบ้าน มันทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความแปลกแยกระหว่างคนมีชีวิตกับคนตายได้อย่างชัดเจน
คนดูไม่ชอบหนังเรื่องนี้เพราะรู้สึกว่ามันว่างเปล่า ไร้ความหมาย
แต่ความว่างเปล่าและไร้ความหมายนี่แหละ คือหัวใจสำคัญของหนัง เพราะความอ้างว้างนี่มันเจ็บปวดและแสนจะเศร้า คนที่มีชีวิตอยู่ยังพอจะขยับตัวไปหาอะไรทำอย่างอื่นได้ แต่ผีอย่างซี กลับทำอะไรไม่ได้นอกจากจะมองดูทุกอย่างอย่างเงียบๆ
และนั่นก็นำมาซึ่งฉากหลอกหลอนที่เจ๋งและสร้างสรรค์มาก
ปกติเมื่อเวลาเราดูหนังผี เราจะได้มองในมุมของตัวเอกที่มีชีวิตอยู่ เข้ามาอยู่ในบ้านแล้วเจอผีหลอกหลอน อย่างทำไฟติดๆดับๆ หรือเหวี่ยงหนังสือตกพื้น อะไรทำนองนี้ถูกไหมครับ?
A Ghost Story เองก็มีอะไรแบบนั้นเหมือนกัน แต่เมื่อบวกเข้ากับความรู้สึกของผีที่ต้องจมอยู่กับความอ้างว้าง ว่างเปล่า ความทุกข์ระทม ฯลฯ มันทำให้ฉากหลอกหลอนนี่ กลายเป็นอะไรที่เจ๋งและสร้างสรรค์สุดๆไปเลย!
หนังเรื่องนี้เป็นการเดินทางของผีตนหนึ่ง ที่เริ่มจากการเป็นมนุษย์ ก่อนจะกลายเป็นผี ก่อนจะได้แต่มองคนรักของตัวเองจากไป ก่อนจะมองครอบครัวแล้วครอบครัวเล่าจากไป ก่อนจะมองโลกรอบตัวเปลี่ยนไป จากบ้านหลังเล็กๆกลายเป็นตึกสูง เดินทางข้ามผ่านกาลเวลาไปเรื่อยๆอย่างเงียบงัน
ช่างเป็นการเดินทางที่เดียวดายแท้…
เดียวดาย ว่างเปล่า และไร้แก่นสาร…
มันมีบางฉาก เอ็มตัดสินใจเขียนข้อความบางอย่างที่คนดูไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วสอดเข้าไปในกรอบประตูก่อนจะทาสีทับ ผีซียึดติดกับข้อความกระดาษนี้มาก พยายามจะหาทางเอาออกมาอ่านตลอดเรื่อง แต่เมื่อตอนจบมาถึง คนดูหลายคนกลับเงิบและถึงขั้นเกลียด เพราะมันทิ้งค้างให้คนดูตกอยู่ในความว่างเปล่า ไม่มีวันเข้าใจได้ว่าตอนท้ายเกิดอะไรขึ้น
แต่ผมคิดว่า มันเหมือนกับเรื่อง Dunkirk น่ะครับ อารมณ์ที่อยู่ในหนัง A Ghost Story หรือ Dunkirk คืออารมณ์พื้นฐานที่คนเราเข้าใจได้ จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย มันดูยากเพราะเพียงแค่ผู้กำกับเลือกจะถ่ายทำหนังเรื่องนี้แบบปล่อยซีนยาวๆ แทนที่จะมีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นแบบหนังทั่วไป และบางฉากโดยเฉพาะฉากสุดท้าย เขาไม่ได้อธิบายอะไรให้คนดูรับรู้แบบตรงๆเหมือนหนังทั่วไป ทำให้คนดูส่วนใหญ่ไม่ได้รับสารแบบตรงๆ
ผมคิดว่าประเด็นหลักคือ ผู้กำกับต้องการดึงให้คนดู มาจมอยู่กับความว่างเปล่าและการยึดติดที่ไร้ความหมายเช่นเดียวกับผีในเรื่อง
เวลาเป็นพันธมิตรของคนที่มีชีวิตอยู่ เวลาสามารถเยียวยารักษาคนที่มีชีวิตทั้งหลายได้ คนมีชีวิตอยู่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ โยกย้ายสถานที่ได้ เปลี่ยนแปลสภาพแวดล้อมรอบตัวได้ แต่สำหรับผีแล้ว เวลาคือความเดียวดายแบบอนันตกาล โลกเปลี่ยนไป แต่ตัวผียังเหมือนเดิม เมื่อตัวเองไปต่อไม่ได้ เปลี่ยนแปลงอะไรรอบตัวไม่ได้ ก็ต้องกลายเป็นผียึดติดสถานที่ไปตลอดกาล จมอยู่กับความทุกข์ทรมานและความเหงาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ฉะนั้นหากมองในมุมของชาวพุทธอย่างเรา สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนจบก็เป็นอะไรที่ผมเข้าใจได้ แม้จะไม่ได้เห็นข้อความสำคัญที่ผีซีพยายามจะหาทางอ่านให้ได้ตลอดทั้งเรื่องเลยก็ตาม และรู้ว่าฉากจบจริงๆแล้วก็ถือว่า แฮปปี้เอ็นดิ้งอยู่เหมือนกัน
อีกนัยหนึ่ง ผมรู้สึกเหมือนผู้กำกับกำลังเล่นกับ “ตัวตน” ของเรา คล้ายกับจะเอาเรื่องผีมาเชื่อมโยงกับมนุษย์ที่ยังยึดติดอยู่กับอดีตแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม และมันมีคำพูดที่สื่อถึง “ความหมายของการดำรงอยู่” ด้วย เพราะมีตัวละครบางตัวพูดถึงเรื่องที่ว่า คนเรานั้นตายได้ แต่เราก็พยายามจะหลงเหลืออะไรไว้ในโลกเพื่อที่จะให้คนอื่นได้รับรู้ถึงตัวตนของเราแม้จะตายไปแล้วก็ตาม อะไรแบบนี้เป็นต้น ซึ่งผมอาจจะต้องขอดูอีกสักสองสามรอบเพื่อจะทำความเข้าใจในตรงนี้
และเมื่อเนื้อหาเหงาๆบวกกับเพลงประกอบของแดเนียล ฮาร์ทแล้ว ทั้งหมดนี่ ทำให้ผมรู้สึก “หลอน” มากครับ!!