หมวดหมู่ : หนังดราม่า , หนังสยองขวัญ , หนังวิทยาศาสตร์ Sci-fi , หนัง Netflix
เรื่องย่อ : Cargo คาร์โก้ (2017) [บรรยายไทย]
IMDB : tt3860916
คะแนน : 6.3
รับชม : 3302 ครั้ง
เล่น : 977 ครั้ง
ต้องบอกเลยว่านี่เป็นหนังเกี่ยวกับซอมบี้อีกเรื่อง ที่มี Setup ต่างๆ ได้น่าสนใจ และเน้นขายดราม่าชนิดที่ว่า ถ้าหากใครบ่อน้ำตาตื้น และไม่มีภูมิคุ้มกันเรื่องหดหู่ รวมไปถึงมีความแพ้และเอ็นดูในตัวเด็กน้อย ต้องขอบอกเลยว่าเรื่องนี้เสียน้ำตาแบบไม่ทันตั้งตัวแน่ๆ
ในช่วงแรกของหนังจะดำเนินเรื่องเรื่อยๆ เกี่ยวกับครอบครัวของ แอนดี้ (มาร์ติน ฟรีแมน) ที่กำลังล่องเรือเพื่อไปหาชุมชนที่ยังมีคนอาศัยอยู่ เพราะว่าเสบียงของพวกเขาเหลือน้อยเต็มที แถมยังมีลูกน้อย โรซี่ ติดสอยห้อยตาม ทำให้ทั้งเขาและภรรยาต้องหาทางรอด
แต่แล้วความกดดันก็ถาโถมเข้ามาแบบไม่ตั้งตัว เมื่อภรรยาของเขาดันโดนกัดจนทำให้ติดเชื้อ และแอนดี้เองก็ติดด้วย ทำให้เขาต้องหาทางส่งลูกน้อยไปให้ถึงมือของใครสักคน ที่พร้อมจะเลี้ยงดูลูกของเขา ก่อนที่เขาจะกลายร่างไปใน 48 ชั่วโมง
ความน่าสนใจในเรื่อง ก็คือการติดเชื้อจนกลายเป็นซอมบี้ ที่คนติดจะมีเมือกยางเหนียวๆ สีส้มคล้ายน้ำผึ้งหลั่งออกมา ก่อนที่จะกระหายเลือดและเนื้อ และมีระยะเวลากลายร่างประมาณ 48 ชั่วโมง มากน้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับสุขภาพของผู้ติดเชื้อเอง
ในเรื่องเราจะได้เห็นอุปกรณ์ที่เหมือนกล่องปฐมพยาบาล แต่มันเป็นกล่องที่บรรจุคู่มือ พร้อมอุปกรณ์รับมือการติดเชื้อ ที่มีทั้งฟันยาง เอาไว้ใส่ป้องกันคนติดเชื้อไปกัดคนอื่น มีสายรัดมือ นาฬิกาข้อมือจับเวลา เชือก และมีกระทั่งอุปกรณ์สำหรับฆ่าตัวตายด้วยการยิงเหล็กแหลมแทงสมองก่อนกลายร่าง ในหนังไม่ได้อธิบายมาก แต่นี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจและในหนังไม่ได้บอกและขยายเรื่องราวต่อเท่าที่ควร ว่าของพวกนี้มันเป็นมายังไง หรือสถานการณ์โลกภายในเรื่องมันถึงขั้นไหน เพราะเราจะเห็นการดำเนินเรื่องอยู่ในทุ่ง ชนบทของออสเตรเลียเสียส่วนใหญ่
และเมื่อมันดำเนินเรื่องในชนบทอันห่างไกล ที่ตัวเอกต้องคอยกระเตงลูกน้อยฝ่าพื้นที่กว้างๆ จนได้ไปเจอกับเด็กสาวชาวเผ่าอะบอริจิน ที่พ่อของเธอก็กลายร่างเหมือนกัน และทำให้แอนดี้ประสบอุบัติเหตุจนรถของเขาพัง ต้องหาทางเดินเท้าเพื่อไปยังหมู่บ้านที่อาจจะมีผู้คนอาศัยอยู่
ในเรื่องได้แอบใส่ดราม่าเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมือง การรุกรานผืนแผ่นดินเข้ามาบ้างประปราย แต่ที่น่าสนใจก็คือ การรับมือกับซอมบี้ของพวกชนเผ่า ซึ่งดูเหมือนพวกเขาจะรู้วิธีจัดการ และป้องกันพวกมันด้วยการทาหน้า แต่ในหนังก็ดันไม่เล่า และขยายความตรงนี้เท่าไหร่ ทั้งๆ ที่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องราวในโลกซอมบี้น่าสนใจมากขึ้น
จุดเด่นของหนังประเภทที่เกี่ยวกับซอมบี้คงเป็นการเอาตัวรอด ที่จะมีพวกคนเห็นแก่ตัว หรือพวกนิสัยแปลกๆ ทำให้ตัวเองอยู่รอดในโลกที่โหดร้ายนี้ได้ ในเรื่องนี้ก็มีเหมือนกัน และมันได้เพิ่มความสนุกและกดดันให้กับตัวเรื่องอย่างมากเลยทีเดียว แม้ว่าเราอาจจะพอเดาได้บ้างว่ามันจะเป็นยังไง
ในหลายๆ ส่วน ของหนัง เลือกที่จะหยิบหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างที่น่าสนใจ มารวมๆ กัน เพื่อให้เรื่องมันดำเนินไปต่อได้ โดยไม่ขยายความน่าสนใจนั้น ซึ่งน่าเสียดายอย่างมาก เพราะหนังพยายามยัดรวมหลายอย่างมากเกินไป จนไม่โฟกัสไปจุดใดจุดหนึ่งจนเนื้อเรื่องมันดูแล้ว “ไม่แน่น” มีพล็อตโฮลอยู่พอสมควร ไอ้ที่ควรเล่าก็ไม่เล่า ไปเล่าในส่วนนั้นส่วนนี้เสียจนยืดเยื้อเกินไปในบางช่วง และเป็นหนังซอมบี้ที่แปลกดีที่เขาใส่เรื่องราวเกี่ยวกับชนเผ่าอะบอริจินเข้ามาเป็นสีสัน ซึ่งต่างจากหนังซอมบี้ปกติที่จะดำเนินเรื่องในเมืองใหญ่
แต่ในด้านดีของเรื่องนี้ต้องยกให้กับการแสดงของ มาร์ติน ฟรีแมน และบทดราม่าของตัวหนังที่ทำออกมาได้ดีมาก เพราะในด้านดราม่าที่กดดัน สถานการณ์ที่ตัวเอกต้องเจอ รวมไปถึงผู้คนที่สิ้นหวัง ทำให้ยิ่งดูแล้วยิ่งขมวดคิ้วและสิ้นหวังไปกับพร้อมแอนดี้และลูกน้อยของเขาจริงๆ เพราะการเดินทางเพื่อตามหาใครสักคนที่จะรับช่วงต่อให้การเลี้ยงลูกของตัวเองมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ด้วยความเป็นพ่อคนทำให้เขาต้องหาทางทำทุกวิถีทาง แม้ว่าตัวเองติดเชื้อใกล้จะตายเต็มที
ในช่วงสุดท้ายของหนัง แม้ว่าการเดินทางที่กระท่อนกระแท่น รวมถึงตัวบทในส่วนต่างๆ หละหลวมและยืดเยื้อในบางช่วง ก็ถูกกลบด้วยดราม่าที่เล่นเอาคุณน้ำตาซึมแบบไม่ทันได้ตั้งตัวไปกับความรักของคนเป็นพ่อ ที่มาร์ติน ฟรีแมน ได้ถ่ายทอดออกมาผ่านการแสดงได้อย่างดี
โดยรวมแล้ว อยากจะบอกว่า นี่เป็นหนังดราม่าที่มีธีมเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับซอมบี้ มากกว่าจะเป็นหนังซอมบี้ที่เอาชีวิตรอดไปเรื่อยๆ แบบ Walking Dead แต่ถ้าหากให้เทียบกับเวอร์ชั่นหนังสั้นต้นฉบับ มันได้ขยายสเกลของเรื่องราวออกมามาก “เกินไป” แม้หลายๆ สิ่งในเรื่องจะดูน่าสนใจ แต่ก็ไม่ขยายความต่อและปล่อยทิ้งไว้ทั้งๆ ที่มันควรจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ในด้านดราม่า ทำออกมาได้หดหู่ และดีซะจนเผลอเสียน้ำตาให้กับเรื่องนี้ได้โดยไม่รู้ตัวเลย