หมวดหมู่ : หนังแอคชั่น , หนังวิทยาศาสตร์ Sci-fi , หนังผจญภัย , หนังระทึกขวัญ
เรื่องย่อ : Maze Runner: The Death Cure เมซ รันเนอร์ ไข้มรณะ (2018) [พากย์ไทย บรรยายไทย]
IMDB : tt4500922
คะแนน : 6.2
รับชม : 37463 ครั้ง
เล่น : 18800 ครั้ง
หลังจากที่เหล่าชาวทุ่งหนีหัวซุกหัวซุนกลางทะเลทราย พร้อมๆ กับหนีผู้ติดเชื้อโรคแฟลร์ ซึ่งผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้จะออกอาการคล้ายคลึงกับซอมบี้ ในภาคก่อน เหตุการณ์ในหนังภาคนี้เล่าเรื่องราว 6 เดือนภายหลังจากที่ มินโฮ (สามีมโนของเหล่าผู้ชมหลายคน) ถูก WCKD จับตัวไปเพื่อทำการทดลองเพื่อค้นคว้าหายารักษาโรคแฟลร์ แต่การทดลองดังกล่าวต้องอาศัยตัวทดลองเป็นเหล่าคนหนุ่มสาวที่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมีภูมิต้านทานโรค
หนังภาคนี้จึงเริ่มต้นที่การที่โธมัสต้องการจะช่วยเหลือหนุ่มสาวเหล่านั้นให้กลายเป็นอิสระ ทำให้เขาต้องร่วมมือกับบรรดาผู้รอดชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ และเหตุการณ์หลักในภาคนี้คือการที่พวกเขาต้องบุกเข้าไปใน “เมืองสุดท้าย” ที่เหลืออยู่บนโลกเพื่อเดินทางไปยังฐานบัญชาการของ WKCD ตลอดการเดินทางของโทมัสและผองเพื่อน พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายมากมาย และแน่นอนว่าต้องมีใครสักคนจากเราไปในหนังภาคนี้
ปัญหาประการสำคัญของแฟรนชายส์ Maze Runner น่าจะมีเค้าลางมาจากตัวนวนิยายต้นฉบับเลยด้วยซ้ำ เราได้เห็น “ช่องโหว่” ของโลกดิสโทเปียมากมาย ยิ่งหนัง “ขยายโลก” หลังจากหนังภาคแรกให้กว้างขึ้นแค่ไหน เรายิ่งมองเห็นได้ว่าผู้กำกับอย่าง “เวส บอล” ไม่สามารถควบคุมในฉากหลังของหนังเรื่องนี้น่าเชื่อถือได้สักนิดเดียว ประกอบกับหนังภาคนี้พยายามพูดถึง “เมืองสุดท้าย” ของมวลมนุษย์ ซึ่งเทียบเคียงได้กับเขต 1 ในนิยายและหนังอย่าง The Hunger Game หรือเมืองของกลุ่มผู้ทรงปัญญาใน Divergent ที่ดูเหมือนเป็นเมืองแห่งความศิวิไลซ์แบบโดดๆ จนนำมาสู่การตั้งคำถามว่า ไยความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองกับคน “ชายขอบ” ประตูเมืองถึงมีความแตกต่างราวฟ้ากับเหว (ซึ่งดูเหมือนเป็นประเด็นขาวกับดำ อย่างให้ลองหวนกลับไปทบทวนตัวหนังดู) ในจุดนี้เป็นแค่รอยด่างของหนังเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งถ้าเรามองข้ามไป หนังในภาคนี้มีประเด็นหลักๆ คือการต่อสู้ระหว่างความถูกต้องในการมีชีวิตโดยปราศจากการถูกควบคุม (โทมัส VS. WCKD)
ถ้าหากให้วิเคราะห์ไปถึงประเด็นที่ว่าเลือดของโทมัสนั้นคือ “ทางรอด” ในการผลิตวัคซีนออกมาเพื่อยุติไวรัสมหันตภัย เหตุใดองค์กรอย่าง WCKD ถึงไม่มีวิธีการที่ชาญฉลาดกว่าที่ปรากฏอยู่ในหนัง อาทิ ใช้ความรุนแรงซึ่งหน้าในการควบคุมสถานการณ์ วางคาแรกเตอร์ตัวเองให้มีสถานะคลุมเครือไม่โปร่งใส (กลัวคนดูไม่รู้ว่าเป็นตัวร้าย?) ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ เมื่อเรายิ่งวิเคราะห์ลงไปรายตัวบุคคลแล้ว ยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้อุดมไปด้วย “คนโง่” ที่ทำอะไรไม่คิดหน้าคำนึงหลัง จนมาสู่ความ “ฉิบหาย” ย่อยยับแบบในช่วงไคลแมกซ์ของเรื่อง
ยิ่งเราคิดเยอะ เราก็จะยิ่งพบความล้มเหลวของหนังภาค The Death Cure หรือต่อให้เราพยายามปล่อยอารมณ์ไปกับหนังภาคนี้เราก็ยังพบว่าหนังเล่าเรื่องตาม Step ภาคบังคับแบบไม่มีอะไรบิดพลิ้วเกินความคาดหมาย อาทิเมื่อตัวละครหลักเข้าตาจนก็จะมีบุคคลที่ 3 4 5 โผล่เข้ามาช่วยแบบที่เราคาดไว้ไม่มีผิด กระทั่งฉากพยายามซาบซึ้ง หนังก็ยังคงทำเป็นสูตรภาคบังคับ (ที่ดูไร้สติสิ้นดี) คนดูแล้วคงพอจะทราบดีว่ามันประกอบไปด้วย 2 เหตุการณ์สำคัญช่วงท้ายเรื่องนั่นเอง